The Happiness of Pursuit

The Happiness of Pursuit

หนังสือได้เล่าถึงการตามหาความสุขด้วยการถามตัวเองว่า “เราต้องการอะไรในชีวิต” “เราเกิดมาทำไม” “เราอยากจะเป็นอะไรในชีวิต” เพราะคำตอบของคำถามเหล่านี้จะนำไปสู่เป้าหมายและจุดประสงค์ในการดำเนินชีวิต

  • แน่นอนว่าเราจะต้องเปลี่ยนและลงมือทำบางอย่างเพื่อไปสู่เป้าหมาย และเราอาจจะต้องเจ็บปวด ทรมาน อาจจะไปไม่ถึงเป้าหมาย แปลว่าเป้าหมายไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้แน่ ๆ 100%
  • สิ่งที่เราได้จากการเดินทางไปสู่เป้าหมายแน่นอนคือความรู้ ทักษะใหม่ ๆ และประสบการณ์ใหม่ และมีโอกาสที่จะได้เปลี่ยนชีวิตคนอื่นให้ดีขึ้นด้วย
  • ส่วนใครที่ถึงเป้าหมายแล้วเราจะต้องสร้างเป้าหมายใหม่เพื่อคงจุดประสงค์ของชีวิตไว้ต่อไป
  • เส้นชัยของชีวิตคือ “ความตาย” ในเมื่อเรารู้เราจะได้พักแน่นอนเมื่อถึงเวลานั้น ดังนั้นก่อนหน้านั้นเราจะต้องสู้ต่อในทุก ๆ วันนะ เราจะได้ไม่ต้องมาพยายามใช้ชีวิตทุก ๆ วันราวกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อสายไปแล้ว
  • การจะเปลี่ยนชีวิตตามเป้าหมายบางครั้งมันยาก มันหนัก เรายังไม่พร้อม ไม่เป็นไร ขอแค่ให้เราได้เริ่มลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ก่อนเพื่อสร้างเกราะในการสู้กับอุปสรรคข้างหน้า หรือไม่แน่เราอาจจะเจอเป้าหมายในชีวิตที่ใช่จริง ๆ ก็ได้นะ

Effortless

Effortless

หนังสือเล่มนี้ได้บอกว่าเส้นทางการได้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดและทรมานเสมอไปหากเราสามารถผูกสิ่งที่สำคัญเข้าไปสิ่งที่สนุกได้ ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แต่มีความหมาย พอเราเก็บเกี่ยวความรู้ ความเชื่อใจจากการร่วมงานกับคนที่ใช่ จัดการสาเหตุก่อนต้องมาตามแก้ไข จนสามารถลงมือทำงานสำคัญได้อย่างอัตโนมัติแล้ว เราก็จะได้พื้นที่ในสมองว่างพอสำหรับเรื่องที่ไม่คาดฝันได้ มีคนสรุปไว้แล้ว https://www.blockdit.com/posts/63f71c31b79af6573d8be0a0

The One Thing

The One Thing

หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่าความสำเร็จนั้นเกิดจากการ focus กับ 1 สิ่งเท่านั้น

  • อย่าสละเวลาส่วนตัวเพื่อเวลางานจนเกินไป แต่ให้จัดลำคัญความสำคัญของงานที่ต้องทำแทน
  • ถามกับตัวเองว่า “มีอะไรที่เราทำอย่างเดียวแล้วเราจะได้ไม่ต้องทำอย่างอื่นตามมาหรือทำอย่างอื่นได้ง่ายขึ้น”
  • หลีกเลี่ยงการทำงานหลากอย่างพร้อมกัน (multitasking) ปฏิเสธงานที่ไม่สำคัญในขณะที่เรากำลัง focus กับงานเดียวที่สำคัญอยู่
  • อย่าพึ่งพาวินัยในทุก ๆ เรื่อง วางแผนว่าจะใช้ตอนไหนเพื่อที่ตอนจะใช้จริงจะได้ไม่หมด

Split the Pie

Split the Pie

หนังสือเล่มนี้พูดถึงว่าวิธีการเจรจาที่เหมาะสมที่สุดคือ focus ที่ value ที่ทุกฝ่ายจะได้เพิ่ม เช่นมีเหตุการณ์สมมติระหว่าง A กับ B

  • มี pizza อยู่ 12 ชิ้น ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้ว่าจะแบ่งกันยังไงก็จะได้ pizza ทั้งถาดฟรี แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้จะได้ pizza แค่ครึ่งถาด โดย A จะได้ 4 ชิ้น แต่ B จะได้แค่ 2 ชิ้น
    • ถ้าแบ่งกันแบบ “fair” แล้ว A กับ B ก็จะได้คนละ 6 ชิ้น ปัญหาคือในชีวิตจริงทางธุรกิจ A จะไม่จบแค่ 6 ชิ้นแน่ ๆ เพราะถ้าตกลงไม่ได้ A จะได้ pizza มากกว่า B ตั้ง 2 ชิ้น แปลได้ว่า A มีอำนาจต่อรองมากกว่า B นั่นเอง
    • ถ้าแบ่งกันแบบ “อำนาจต่อรอง” แล้ว A ก็จะได้ 8 ชิ้น ส่วน B จะได้แค่ 4 ชิ้น ปัญหาคือในชีวิตจริงทางธุรกิจ B ไม่ยอมเพราะเสียเปรียบ A มากเกินไป
    • ถ้าเรากลับมาคิดใหม่จะพบว่าทั้ง A และ B ไม่ได้ตกลงกันเพื่อ pizza 12 ชิ้น เพราะถ้าตกลงไม่ได้หรือไม่ตกลงทั้งคู่ก็ได้ pizza รวมกัน 6 ชิ้นอยู่ดี แปลว่าจริง ๆ แล้วเขาตกลงกันเพื่อ pizza อีก 6 ชิ้นที่เหลือต่างหาก ผลลัพธ์คือทั้งคู่ควรจะแบ่งกันไปคนละ 3 ชิ้น (A จะได้ไป 4+3=7 ชิ้น ส่วน B จะได้ไป 2+3=5 ชิ้น)
  • A กับ B อยากจะลงทุนทำธุรกิจโดย A มี 5000 บาท ส่วน B มี 20000 บาท ถ้า A ลงทุนคนเดียวจะได้ส่วนแบ่งกำไร 1% (50 บาท) ถ้า B ลงทุนคนเดียวจะได้ 2% (400 บาท) แต่ถ้าลงขันกันจะได้ 3% (รวมกัน 750 บาท)
    • ถ้าแบ่งกำไรกันตามสัดส่วนการลงทุน 3% จะพบว่า B ได้กำไร 600 บาท (เพิ่มจากลงคนเดียว 200 บาท) และ A ได้กำไร 150 บาท (เพิ่มจากคนเดียว 100 บาท)
    • สมมติว่าลงขันกันจะได้ 2% (รวมกัน 500 บาท) B จะได้กำไร 400 บาท และ A ได้กำไร 100 บาท จะพบว่า B จะไม่ได้เงินเพิ่มจากการลงขันเลย ในขณะเดียวกัน A จะได้กำไร 2 เท่า ซึ่งดูไม่ fair กับ B แต่ถ้าแบ่งกำไรกันตรงกลางจะพบว่า A และ B จะได้กำไร 250 บาท
    • กลับมาที่ความจริงว่าลงขันกันจะได้ 3% ถ้าแบ่งกำไรกันตรงกลางจะพบว่า A และ B จะได้กำไรคนละ 375 บาทซึ่งอาจจะดูน้อยกว่าลงทุนคนเดียวในช่วงแรก แต่สุดท้ายทุกคนจะได้มากกว่าในเดือนถัด ๆ ไป (ในกรณีว่าไม่มีการขาดทุนอ่ะนะ)

จากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่าสิ่งที่เราต้องการหลังการเจรจานั้นคือทุกคนออกไปได้มากกว่าตอนที่เข้ามาแล้วทุกคน happy นั่นเอง

Drive

Drive

หนังสือสำหรับหัวหน้าที่ต้องการจะปลุกใจลูกน้องด้วยการขับแรงจูงใจภายในแต่ละคนออกมา

  • ให้ feedback และคำชมแก่ลูกน้องสม่ำเสมอ เน้นคำชมต่อหน้าคน คำติเป็นการส่วนตัว
  • เน้นย้ำกับแต่ละคนว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีส่วนร่วมกับ performance ของบริษัทมากขนาดไหน
  • งานที่พนักงานได้ทำจะต้องท้าทายโดยที่ไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป