Diátaxis model https://diataxis.fr/

ในการพัฒนา software การเขียนเอกสารเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม มักจะถูกทำแบบลวก ๆ ไม่ค่อยจะ update หรือหนักที่สุดคือมันจัดไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้ส่าเอกสารที่เคยเขียนอยู่ที่ไหนจนเป็นปัญหาใหญ่ แต่มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะเอกสารที่ดีช่วยให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้นแทนที่จะเป็นภาระ!

หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การเขียนเอกสารเป็นระเบียบและใช้งานได้จริงก็คือ Diátaxis ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยจัดประเภทเอกสารออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Tutorials, How-to Guides, Reference Guides และ Explanation วิธีนี้ช่วยให้เอกสารมีความชัดเจนขึ้น และช่วยให้ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเราจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ว่าเราเขียนเอกสารนั้น ๆ ขึ้นมาเพื่ออะไร เนื้อหาจะอยู่ในรูปแบบไหน ความละเอียดของเนื้อหาประมาณไหน เป็นต้น

ทำไมต้องใช้ Diátaxis

Diátaxis model นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีลอย ๆ ขึ้นมา แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้จริงในหลาย software project ทั้งเล็กและใหญ่ การที่เรามีแนวทางชัดเจนในการจัดเอกสารทำให้

  • ง่ายต่อการเขียนและดูแลรักษา: เพราะรู้ว่าเนื้อหาแต่ละประเภทควรอยู่ตรงไหน
  • ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น: เนื่องจากมีโครงสร้างที่ชัดเจน
  • ป้องกันการสับสนของเนื้อหา: เพราะแต่ละประเภทมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

มาดูกันว่าเอกสารแต่ละประเภทใน Diátaxis มีหน้าที่อะไร และใช้งานอย่างไรบ้าง

1. Tutorials (บทเรียนแบบจับมือทำ)

แนวคิดของเอกสาร Tutorials คือเน้นการเรียนรู้เป็นหลัก (Learning-oriented) เหมาะสำหรับมือใหม่สุด ๆ เพราะจะพาไปทีละขั้นตอน เป้าหมายคือให้คนอ่านสามารถทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ เช่น “วิธีติดตั้งและเริ่มใช้ application ของเรา” หรือ “สร้าง webpage แรกของคุณด้วย HTML”

วิธีเขียน Tutorials ให้ดี:

  • เขียนให้เป็นลำดับขั้นตอนที่เข้าใจง่าย
  • ใช้ตัวอย่างที่ทำตามได้จริง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถทำซ้ำได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด
  • หลีกเลี่ยงคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป
  • ทำให้ผู้อ่านเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว

2. How-to Guides (คู่มือวิธีทำ)

แนวคิดของเอกสาร How-to Guides คือเน้นการแก้ปัญหา (Goal-oriented) มันจึงเหมาะสำหรับคนที่พอมีพื้นฐานแล้ว ต้องการคำตอบแบบชัดเจนไว ๆ เช่น “จะเพิ่มปุ่ม Login บน web ได้ยังไง” หรือ “วิธีตั้งค่า Docker ให้ใช้งานกับ PostgreSQL”

วิธีเขียน How-to Guides ให้ดี:

  • เน้นไปที่วิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจน
  • เขียนเป็นลำดับขั้นตอนสั้น ๆ และกระชับ
  • ไม่ต้องอธิบายพื้นฐานที่คนอ่านควรจะรู้แล้ว
  • ใช้ตัวอย่างที่ใช้งานได้จริง

3. References (ข้อมูลอ้างอิง)

แนวคิดของเอกสาร References คือเน้นการให้ข้อมูล (Information-oriented) สำหรับคนที่ต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ เช่น API, architecture ต่าง ๆ โดยไม่มีการสอนหรืออธิบายแนวคิดเพิ่มเติม บอกแค่่ว่าอะไรคืออะไร ใช้งานยังไง เช่น “XXX ใช้งานยังไง?”

วิธีเขียน Reference Guides ให้ดี:

  • ใช้ภาษาที่เป็นกลางและตรงไปตรงมา
  • มีตัวอย่างการใช้งานที่ชัดเจน
  • หลีกเลี่ยงการอธิบายแนวคิดหรือกระบวนการ ให้ focus ไปที่ “นี่คืออะไร” และ “ใช้งานยังไง”

4. Explanation (บทความอธิบาย)

แนวคิดของเอกสาร Explanation คือ เน้นความเข้าใจเชิงลึก (Understanding-oriented) อธิบายแนวคิดเบื้องหลัง วิธีการทำงานของระบบ หรือเหตุผลว่าทำไมบางอย่างถึงเป็นแบบนั้น เช่น “ทำไมต้องใช้ MVC ในการออกแบบ web application?”

วิธีเขียน Explanation ให้ดี:

  • ให้บริบทและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดต่าง ๆ
  • อธิบายแนวคิดเชิงลึกที่อาจไม่สามารถจับต้องได้โดยตรง
  • เปรียบเทียบและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่แตกต่างกัน
  • หลีกเลี่ยงการสอนเป็นขั้นตอน หรือให้ข้อมูลอ้างอิงโดยตรง

สรุป

Tutorials How-to Guides Reference Explanation
สอนเริ่มต้น แก้ปัญหาเฉพาะจุด ให้ข้อมูลเชิงเทคนิค อธิบายแนวคิดลึก ๆ
เหมือนครูพาเรียน เหมือนสูตรอาหาร เหมือนพจนานุกรม เหมือนบทความวิชาการ
ต้องทำตาม ต้องการคำตอบเร็ว ๆ ต้องรู้ข้อมูลชัด ๆ ต้องการเข้าใจภาพรวม

การแยกเอกสารออกเป็น 4 หมวดหมู่นี้ช่วยให้ทั้งผู้ใช้และนักพัฒนาทำงานได้สะดวกขึ้น ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และผู้เขียนเองก็สามารถเขียนและดูแลเอกสารได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาสับสนว่าควรใส่ข้อมูลไว้ที่ไหน

ลองเอาไปใช้ดู แล้วจะพบว่าเอกสารดี ๆ ก็สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่านได้!