มาเขียนเอกสารด้วย Diátaxis model กัน
ในการพัฒนา software การเขียนเอกสารเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม มักจะถูกทำแบบลวก ๆ ไม่ค่อยจะ update หรือหนักที่สุดคือมันจัดไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้ส่าเอกสารที่เคยเขียนอยู่ที่ไหนจนเป็นปัญหาใหญ่ แต่มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะเอกสารที่ดีช่วยให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้นแทนที่จะเป็นภาระ!
หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การเขียนเอกสารเป็นระเบียบและใช้งานได้จริงก็คือ Diátaxis ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยจัดประเภทเอกสารออกเป็น 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Tutorials, How-to Guides, Reference Guides และ Explanation วิธีนี้ช่วยให้เอกสารมีความชัดเจนขึ้น และช่วยให้ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเราจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ว่าเราเขียนเอกสารนั้น ๆ ขึ้นมาเพื่ออะไร เนื้อหาจะอยู่ในรูปแบบไหน ความละเอียดของเนื้อหาประมาณไหน เป็นต้น
ทำไมต้องใช้ Diátaxis
Diátaxis model นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีลอย ๆ ขึ้นมา แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้จริงในหลาย software project ทั้งเล็กและใหญ่ การที่เรามีแนวทางชัดเจนในการจัดเอกสารทำให้
- ง่ายต่อการเขียนและดูแลรักษา: เพราะรู้ว่าเนื้อหาแต่ละประเภทควรอยู่ตรงไหน
- ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น: เนื่องจากมีโครงสร้างที่ชัดเจน
- ป้องกันการสับสนของเนื้อหา: เพราะแต่ละประเภทมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน
มาดูกันว่าเอกสารแต่ละประเภทใน Diátaxis มีหน้าที่อะไร และใช้งานอย่างไรบ้าง
1. Tutorials (บทเรียนแบบจับมือทำ)
แนวคิดของเอกสาร Tutorials คือเน้นการเรียนรู้เป็นหลัก (Learning-oriented) เหมาะสำหรับมือใหม่สุด ๆ เพราะจะพาไปทีละขั้นตอน เป้าหมายคือให้คนอ่านสามารถทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ เช่น “วิธีติดตั้งและเริ่มใช้ application ของเรา” หรือ “สร้าง webpage แรกของคุณด้วย HTML”
วิธีเขียน Tutorials ให้ดี:
- เขียนให้เป็นลำดับขั้นตอนที่เข้าใจง่าย
- ใช้ตัวอย่างที่ทำตามได้จริง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถทำซ้ำได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด
- หลีกเลี่ยงคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป
- ทำให้ผู้อ่านเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว
2. How-to Guides (คู่มือวิธีทำ)
แนวคิดของเอกสาร How-to Guides คือเน้นการแก้ปัญหา (Goal-oriented) มันจึงเหมาะสำหรับคนที่พอมีพื้นฐานแล้ว ต้องการคำตอบแบบชัดเจนไว ๆ เช่น “จะเพิ่มปุ่ม Login บน web ได้ยังไง” หรือ “วิธีตั้งค่า Docker ให้ใช้งานกับ PostgreSQL”
วิธีเขียน How-to Guides ให้ดี:
- เน้นไปที่วิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจน
- เขียนเป็นลำดับขั้นตอนสั้น ๆ และกระชับ
- ไม่ต้องอธิบายพื้นฐานที่คนอ่านควรจะรู้แล้ว
- ใช้ตัวอย่างที่ใช้งานได้จริง
3. References (ข้อมูลอ้างอิง)
แนวคิดของเอกสาร References คือเน้นการให้ข้อมูล (Information-oriented) สำหรับคนที่ต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ เช่น API, architecture ต่าง ๆ โดยไม่มีการสอนหรืออธิบายแนวคิดเพิ่มเติม บอกแค่่ว่าอะไรคืออะไร ใช้งานยังไง เช่น “XXX ใช้งานยังไง?”
วิธีเขียน Reference Guides ให้ดี:
- ใช้ภาษาที่เป็นกลางและตรงไปตรงมา
- มีตัวอย่างการใช้งานที่ชัดเจน
- หลีกเลี่ยงการอธิบายแนวคิดหรือกระบวนการ ให้ focus ไปที่ “นี่คืออะไร” และ “ใช้งานยังไง”
4. Explanation (บทความอธิบาย)
แนวคิดของเอกสาร Explanation คือ เน้นความเข้าใจเชิงลึก (Understanding-oriented) อธิบายแนวคิดเบื้องหลัง วิธีการทำงานของระบบ หรือเหตุผลว่าทำไมบางอย่างถึงเป็นแบบนั้น เช่น “ทำไมต้องใช้ MVC ในการออกแบบ web application?”
วิธีเขียน Explanation ให้ดี:
- ให้บริบทและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดต่าง ๆ
- อธิบายแนวคิดเชิงลึกที่อาจไม่สามารถจับต้องได้โดยตรง
- เปรียบเทียบและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่แตกต่างกัน
- หลีกเลี่ยงการสอนเป็นขั้นตอน หรือให้ข้อมูลอ้างอิงโดยตรง
สรุป
Tutorials | How-to Guides | Reference | Explanation |
---|---|---|---|
สอนเริ่มต้น | แก้ปัญหาเฉพาะจุด | ให้ข้อมูลเชิงเทคนิค | อธิบายแนวคิดลึก ๆ |
เหมือนครูพาเรียน | เหมือนสูตรอาหาร | เหมือนพจนานุกรม | เหมือนบทความวิชาการ |
ต้องทำตาม | ต้องการคำตอบเร็ว ๆ | ต้องรู้ข้อมูลชัด ๆ | ต้องการเข้าใจภาพรวม |
การแยกเอกสารออกเป็น 4 หมวดหมู่นี้ช่วยให้ทั้งผู้ใช้และนักพัฒนาทำงานได้สะดวกขึ้น ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และผู้เขียนเองก็สามารถเขียนและดูแลเอกสารได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาสับสนว่าควรใส่ข้อมูลไว้ที่ไหน
ลองเอาไปใช้ดู แล้วจะพบว่าเอกสารดี ๆ ก็สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่านได้!