สรุปจากการอ่านหนังสือ นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
มีโอกาสได้หยุดยาว 2 สัปดาห์ติด ว่างๆ เลยหยิบหนังสือ นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ โดยคุณ Ha Wan 하완 ขึ้นมาอ่าน
หนังสือสำหรับคนขี้แพ้ ?
ตอนแรกที่ซื้อมาเพราะหน้าปก และชื่อหนังสือล้วนๆ ครับ ก่อนอ่านก็เดาว่ามันต้องเป็นหนังสือสำหรับ Loser ในชีวิตจริง ที่เต็มไปด้วย quote ปลอบใจสำหรับผู้แพ้หรือเปล่า
แต่หลังจากอ่านจบผมก็คิดผิดครับ มีหลายประเด็นทีน่าสนใจทำให้เราฉุกคิดครับ และเป็นหนังสือที่มีแนวคิดไม่สุดโต่งแบบ ขาว-ดำ (คนเขียนบอกว่าแนวคิดเขาอาาจะผิดก็ได้นะ ฮ่าๆๆ) เช่น แนวคิดแบบ “ยอมแพ้เหอะ” หรือ “จะไม่เป็นเศรษฐี” ก็ทำให้ผมสับสนในตัวเองเหมือนกัน และทำให้เราเห็นมุมมองของคนที่ “ยอมแพ้” ต่อ “ระบบ” และ “สังคม” ได้ลึกซึ้งขึ้นครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขา “ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ซะหน่อย
เนื้อหาในหนังสือเข้าใจง่ายครับ เป็นเรื่องราวของผู้เขียนที่ลาออกจากงานประจำมาเป็น freelance โดยที่การนำเสนอจะไม่ใช่แบบ how-to แต่จะเป็นเหมือนอ่าน Post หรือ Status ใน social media ขำๆ แล้วตอนท้ายก็ตบด้วยคำคมๆ หรือ tradeoff ระหว่าง “เงิน” และ “อิสรภาพ” ซึ่งสำหรับผมเป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้
- เราจะมีความสุขขึ้นถ้าเรายอมรับว่าเหตุการณ์ในชีวิตมันเป็นได้ทั้ง “พยายามแล้วแต่ไร้ผล” หรือ “ผลลัพธ์ดีเกินคาดกว่าความพยายาม”
- อย่าฝืนสร้าง Passion ส่งๆ เพราะการขาด Passion ในเรื่องที่เราไม่ชอบถือเป็นเรื่องธรรมดา
- เราจะใช้ชีวิตยังไงถ้าเงินไม่ใช่เป้าหมาย
- โศกนาฏกรรมเริ่มต้นในนาทีที่เราเชื่อว่า “ชีวิตมีเพียงเส้นทางเดียว” เพราะนั่นหมายถึงเรากำลังตัดใจจากเส้นทางอื่นๆ
- กล้าที่จะท้าทายลองสิ่งใหม่ และกล้าที่จะยอมแพ้เมื่อถึงเวลาควรยอม
- อย่าบังคับเขี่ยวเค็ญตัวเองเข้าหา “พายุ” จะดีกว่าไหมถ้าเราสร้างโลกที่ดีพอให้เราวิ่งเล่นกลาง “สายฝนซาๆ”
- เนื้อหาของปริศนาคือความสนุกขณะกำลังไขปริศนา ซึ่งปริศนาที่ชื่อว่า “ชีวิต” มันก็ไม่คำตอบซะด้วยสิ
- อิสรภาพไม่ช่วยให้เราอิ่มท้อง
- คนที่หมดพลัง แทนที่จะทำให้ มากขึ้น ลอง กลุ้มใจให้น้อยลง พยายามให้น้อยลง และเสียดายอดีตที่ผ่านมาให้น้อยลง
- อย่าปล่อยให้เวลาและแรงใจสูญเสียไปกับความตั้งใจมากจนเกินไป
- อยู่คนเดียวก็สบายใจนะ แต่พอปลีกวิเวกเต็มที่แล้วเราก็กลับมาอยู่กับผู้คน เพราะคนเราไม่สามารถมีชีวิตได้ตามลำพัง
- การที่เราเลือกทางของตัวเอง เวลาพลาดขึ้นมาอย่างน้อยเราก็ไม่โทษคนอื่น
- การใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายและแบบแผน อาจจะทำให้เราเจอเรื่องดีๆ แบบบังเอิญก็ได้นะ
- จะเสียดายเหตุการณ์อะไรในชีวิตก็ตาม ชีวิตต้องดำเนินต่อไป (นี่มัน move on ชัดๆ ฮ่าๆๆ)
- ไม่มีใครทำงานบริษัทได้ตลอดกาล ถ้าจะลาออกมาก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นไร
- สิ่งที่สำคัญกว่าการวางแผนชีวิต คือเราต้องยืดหยุ่น จับสมดุล ด้วยการรู้ทันสภาพที่ไม่สมดุลของตัวเอง
- คนเราก็แปลก อยากมีชีวิตง่ายๆ แต่การทำมาหากินช่างซับซ้อนเหลือเกิน
- ทำงานเพื่อมีชีวิต หรือ มีชีวิตเพื่อทำงาน
- การที่เราจะมี work-life balance ที่ดี ต้องเริ่มจากสังคมที่เราอยู่ก่อนเลย
- ใช้ชีวิตง่ายๆ เราจะได้ขี้เกียจนานขึ้นหน่อย
- การตามหาเส้นทางและความเร็วที่ใช่กับเราสำคัญกว่าการวิ่งไล่ตามคนอื่น
- การที่เรื่องบนโลกที่ไม่เป็นดั่งใจเรา เป็นเรื่องปกติและธรรมชาติ
- ชีวิตของเราใช่ว่าจะจบสิ้นเพราะเราพลาดฝัน ไม่เห็นมีกฎไหนบอกเลยว่าหากพลาดหวังแล้วห้ามมีความสุข
- การพยายามปรับตัวตามทุกคน สุดท้ายเราอาจจะปรับให้ตรงใจใครไม่ได้เลย
- วิธีการที่ทำให้เราไม่มีความสุขได้ทันทีเลยคือ “เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น”
- มารผจญของการใช้ชีวิตโดยไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นคือ “ลูกเพื่อนแม่” ฮ่าๆๆๆๆๆ
- เป้าหมายของนิตยสารคือทำให้เราหดหู่ เพราะอารมณ์หดหู่กระตุ้นให้เราอยากมีอยากได้ (นี่มันกิเลสชัดๆ)
- เสียบางสิ่ง เพื่อให้ได้บางสิ่ง
- การเข้าใจตัวเองสำคัญกว่าการพัฒนาตัวเอง
- คนเราฝันได้ แต่อย่าไปคาดหวังกับมันเยอะ เพราะชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน เนอะ
นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมากๆ มันเหมาะสำหรับทุกคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตที่ “ตั้งใจ” เกินไป ลองหยิบมาอ่านดูครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
“สุดท้ายแล้วไม่มีใครบอกได้หรอกว่าชีวิตเราเลือกแบบไหนถึงจะถูก จะเป็นอย่างไร หากเราได้ออกเดินทางและเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ทำสิ่งที่ชอบให้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ผ่อนคลายและไม่ยึดติดจนเกินไป”