My first car

ตลอดเวลาที่ผ่านมา “รถยนต์” สำหรับเราคือสิ่งที่มองมาตลอดว่ามัน “ไม่จำเป็น” เพราะที่ผ่านมาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าจะมีก็กลัวจะมีในเวลาเดียวกัน

ย้อนความกลับไปตอนอายุ 18 เราไปเรียนขับรถเหมือนคนอื่นทั่วไปเพราะพ่อแม่บอกให้ไปหัดขับ

“โตมาทำงานก็ต้องมีรถมีบ้าน” – พ่อแม่บอกไว้ ณ ตอนนั้น

แต่ตอนสอบใบขับขี่รอบแรกตกท่าจอดเทียบ ด้วยความใจร้อนรอบสองดันเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ ขอยืมรถพ่อเพื่อนไปสอบ แล้วดันเหยียบแป้นคันเร่งแทนเบรก ชนรถของโรงเรียนสอนขับอีกคันตรงหน้าแบบเต็ม ๆ บี้เข้าไปบุบยับเลย ตอนลงรถมามันคืออาการ “panic” ชัด ๆ มือสั่น เหงื่อแตก คลื่นไส้

Driving test

ตอนไปสอบใบขับขี่ ชวนนึกถึงภาพเก่า ๆ เหตุการณ์ในวันนั้น ฮ่า ๆๆ

จากวันนั้นเป็นต้นมา ความกลัวการขับรถฝังอยู่ในใจนานมาก ไม่ใช่แค่กลัวอุบัติเหตุ แต่กลัว “ความรับผิดชอบ” ที่มาพร้อมกับการขับรถ เพราะเหตุการณ์นั้นต้องเดือดร้อนคนอื่น เสียเพื่อน และเสียเวลามาก เราเลือกใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งรถยนต์มานานหลายปี ทั้งขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เรียกแท็กซี่ (ทุกวันนี้ก็ยังเรียกอยู่บ้าง) ชีวิตก็อยู่ได้นิ ไม่มีปัญหา

แต่พอวันหนึ่งพ่อแม่เริ่มอายุมากขึ้น สุขภาพไม่เหมือนเดิม เคยลื่นล้ม เคยบาดเจ็บ และเรารู้ตัวว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน เราไม่สามารถรอ 1669 หรือแท็กซี่ได้อย่างสบายใจอีกต่อไป นอกจากนั้นเราโตขึ้น เราอยากจะไปเที่ยวต่างจังหวัดไม่มีขนส่งก็ไปเองไม่ได้ มันเริ่มมีเหตุผลจริง ๆ ที่ต้องมีรถ

แปลว่าจากคนที่เคยกลัวรถ เราเริ่มกลับไปฝึกขับใหม่ทีละนิด จนสุดท้ายวันที่ตัดสินใจซื้อรถคันแรกในชีวิตมาถึง และมันกลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เราภูมิใจที่สุด เพราะมันคือการกลับมาเอาชนะความกลัว และ เติบโตเป็นคนที่พึ่งพาได้

Learning car

การเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถแค่ 15 ชั่วโมงมันทำให้เรา “ขับได้” แต่ไม่ได้ทำให้เรา “ขับเป็น”

ซื้อเงินสด vs ซื้อผ่อน

ก่อนจะตัดสินใจซื้อ คำถามแรกที่ต้องตอบให้ได้คือ “จะซื้อสดหรือจะผ่อน” ส่วนตัวของเราคำตอบมันคือ “ซื้อเงินสด” ครับ เพราะ

  • ถ้าซื้อแบบผ่อน รถจะเป็นชื่อของ finance ก่อน กว่าจะโอนเป็นชื่อเราได้ต้องผ่อนหมดก่อน แถมยังมีดอกเบี้ยรวม ๆ กันหลายหมื่นบาท
  • ซึ่งถ้าคิดต่อไปอีก รถเป็นของที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้กับเรา (ยกเว้นแต่ว่าจะเอาไปขับเป็นแท็กซี่) ถ้าซื้อผ่อน ต้องมาทำงานโดยที่มี mindset ว่าจะเอามา “ใช้หนี้” ซึ่งจำกัดชีวิตกับสิ่งที่ไม่ได้ทำเงินให้กับเราจริง ๆ
  • เรามีเงินเย็นอยู่ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ไม่ได้ต้องใช้ในระยะสั้น เลยตัดสินใจซื้อเงินสดไปเลย

หลักคิดง่าย ๆ ที่เราใช้คือ ถ้าผ่อนแล้วค่างวดเกิน 10% ของรายได้ต่อเดือน — ไม่แนะนำให้ซื้อ เพราะเป็นภาระชีวิต

ขั้นตอนการเลือกรถ

การเลือกรถมันไม่ต่างจากการเลือกเพื่อนร่วมชีวิตเลย เราคิดจากคำถามว่า

“รถคันนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในด้านไหน”

บางคนชอบความแรง บางคนเน้นประหยัดน้ำมัน บางคนชอบความสบายหรือต้องการ option เยอะ ๆ แต่ไม่ว่าจะแบบไหน ต้องซื้อคุณภาพที่เราตามหาจริง ๆ ไม่ใช่คนอื่นตามหา จนกลายเป็นภาระชีวิตของเราเอง

สิ่งที่เราพิจารณาหลัก ๆ คือ

  • Segment / ราคา / รุ่นย่อย ให้เหมาะกับการใช้งาน ไม่ต้องสูงสุดทุกอย่างก็ได้
  • Brand และความน่าเชื่อถือ ดูจากประสบการณ์คนใช้จริง
  • Option ด้านความปลอดภัย อันนี้จำเป็นสุด เพราะมันคือสิ่งที่ปกป้องชีวิต
  • อาการประจำรุ่น เข้าไปดูในกลุ่ม Facebook ของรุ่นนั้น ๆ มีทั้งรีวิวและคำเตือนที่ไม่มีในโบรชัวร์
  • ศูนย์บริการใกล้บ้านไหม ถ้าต้องเข้าศูนย์ไกล ๆ จะกลายเป็นภาระ โดยเฉพาะต้องทิ้งรถไว้
  • ค่าเบี้ยประกัน / ค่าซ่อม / ค่าเชื้อเพลิง ต้องคิดรวมทั้งหมด ไม่ใช่ดูแค่ราคารถ
  • Lifestyle ส่วนตัว ขับบ่อยไหม ขับในเมืองหรือต่างจังหวัด เพราะมันมีผลต่อการเลือกรถสันดาป, hybrid หรือ EV
  • ราคาขายต่อ เผื่ออนาคตเปลี่ยนรถ จะได้ไม่ขาดทุนหนัก

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ test drive อย่าซื้อจากรีวิวหรือคำบอกเล่าอย่างเดียว ต้องลองด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่ามัน “ใช่” ไหม

Test drive

การต่อราคาเป็นศิลปะแห่งการซื้อของใหญ่

  • ถ้ามีคนในบ้านเคยซื้อรถยี่ห้อนั้นมาก่อน ลองซื้อจาก dealer เดิม เพราะมักจะคุยง่ายและได้ข้อเสนอที่ดีกว่า

  • ของแถมที่เราขอเน้นคือสิ่งจำเป็น เช่น dashcam, ผ้าคลุมรถ, กล้องรอบคัน, เครื่องฟอกอากาศ ไม่ใช่หม้อหุงข้าวหรือคูปองล้างรถ 5 ครั้ง ฮ่า ๆๆ

  • เรายังเข้าไปดูในกลุ่ม Facebook เพื่อดูว่าคนอื่นได้โปรโมชันหรือส่วนลดอะไรบ้าง แล้วเอามาเทียบก่อนตัดสินใจ

  • อีกอย่างคืออย่าลืมดู “เดือนและปีที่ผลิตรถ” รถใหม่เดือนเดียวกันยังดีกว่ารถเก่าไปหลายเดือนโดยไม่รู้ตัว

  • ถ้ามีของแถมที่ไม่อยากได้ ก็ลองขอแลกเป็นส่วนลดเงินสดแทนได้

อุปกรณ์เสริมที่ติดเอง

หลังออกรถ สิ่งแรกที่ทำคือ “ติดฟิล์ม” อย่าประหยัดกับของพวกนี้ ฟิล์มดีช่วยลดความร้อนในรถเยอะมาก ติดครั้งเดียวอยู่กับเราหลายปี

ส่วนการ “เคลือบสี” ถ้ามีงบ แนะนำ ceramic coating เพราะอยู่ได้นานกว่าเคลือบแก้วเยอะ (แก้วประมาณ 1 ปี เซรามิกอยู่ได้ 3 ปี) รถจะดูใหม่ตลอดเวลา แม้จะโดนฝนหรือเอาไปลุยบ้าง

สรุป

วันที่รับรถ ไม่ได้รู้สึกเหมือนได้ของใหม่ แต่เหมือน “ได้ชีวิตบทใหม่” จากคนที่เคยกลัวการขับรถ ไม่มั่นใจในตัวเอง และไม่คิดว่าจะกล้าขับรถอีกครั้ง วันนี้เราขับรถพาพ่อแม่ไปโรงพยาบาล ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปทำกิจกรรมที่อยากทำ ทุกอย่างเปลี่ยนไป

มันไม่ใช่เรื่องของการอวดรวยหรือการมีหลักฐานว่าตัวเองประสบความสำเร็จตามที่คนอื่นบอก แต่มันคือ ความกล้าที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาด และ การรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและคนอื่นได้