เมื่อเดือนธันวาคม มีโอกาสได้ไปเที่ยวไต้หวันเป็นครั้งแรก เวลา 5 วัน 4 คืน เป็น trip ที่ครบรส ทั้งเหนื่อย ทั้งอิ่มหนำสำราญ และประทับใจ เลยมาบันทึกเป็นความทรงจำไว้หน่อย

การเตรียมตัวไป

ต่อเนื่องจาก trip ก่อนหน้านี้ของญี่ปุ่น ในเมื่อวันลาพักร้อนยังเหลือ บวกกับยังไม่มี project ใหม่เข้ามา และการป้ายยาของรุ่นพี่ (ถ้าพี่เข้ามาอ่านก็ขอบคุณไว้ตรงนี้เลย) ว่าไต้หวันเนี่ยมันคือ “mini Japan” เลย แล้วก็สังเกตว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวไต้หวันกันเยอะรองลงมาจากญี่ปุ่นทุกปีในช่วงก่อน COVID อยู่แล้ว เลยลองไปดูสักครั้ง

  • จองตั๋วเครื่องบินขาไป Thai Airways ขากลับ ThaiVietJet
  • จองโรงแรมของ Finders Hotel
  • ทำประกันภัยท่องเที่ยว
  • เตรียม Pocket Wifi
  • แลกเงินสด
  • การลงทะเบียน immigration สามารถเข้าไปกรอกใน website ขั้นตอนน้อยกว่าที่ญี่ปุ่นมาก และคุมเข้มเรื่อง COVID น้อยกว่า ไม่ขอดูเอกสารอะไรเลย แค่แจกชุดตรวจ ATK ให้ไปตรวจเองเท่านั้น (ส่วนตัวเราไม่ตรวจเพราะเพิ่งหาย COVID มา ภูมิคุ้มกันเต็ม)

ออกเดินทางวันแรก

เนื่องจากเป็น flight ช่วงเช้าก็ได้นอนมาก่อน flight เลยไม่มีอาการง่วงนอนอะไร และไม่มีการโดนแซงคิวด้วย ไปถึงก็นั่งรถไฟฟ้าเข้า Taipei ไม่ถึง 1 ชม. บรรยากาศโดยรวมก็ไม่ต่างอะไรจากจีนที่เคยไป ตึกก็จะเป็นสีแนว earth tone แต่บางจุดก็มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นอยู่บ้าง ตามท้องถนนสะอาดกว่าจีนหน่อย และเจอคนขากถุยน้อยกว่าที่จีนมาก ๆๆ (ที่จีนเจอทุกวัน ที่ไต้หวันเจอครั้งเดียว) การเดินทางก็เน้นรถไฟเป็นหลัก รองลงมาก็เป็นรถ bus และสุดท้ายก็รถ Taxi สำหรับออกนอกเส้นทางหลักและย่นเวลาการเดินทางแบบอ้อม ๆ

เริ่ม program วันแรกด้วยการไปชม view ที่ Taipei 101 ซึ่งวันนั้นฟ้ามืดเร็วมาก ก็เลยเห็นตอนพระอาทิตย์ตกแค่แปบเดียว รวมกับเราไปดูได้ไม่ครบทุกชั้นเพราะเค้าเตรียมพลุสำหรับ countdown ตอนกลับพบว่าเจ้าหน้าที่เอาคนลงจากตึกได้ช้าพอสมควรเลย เพราะคนลงพร้อม ๆ กันและมี lift อันนึงที่ต้องเอาไปใช้ขนของด้วย

Taipei 101

ต่อมาก็แวะ shopping ที่ Taipei 101 shopping mall ที่เชื่อมต่อหลาย ๆ ตึก และไปลองชิมชานมไข่มุกร้านแรกของโลกที่ Chun Shui Tang 🧋จากนั้นก็นั่งรถ bus ไปเดินตลาดกลางคืนที่ Raohe Night Market หลายอย่างอร่อยมาก เช่น Moshi, Steak, เผือกทอด และ ซุปซี่โครงหมูสมุนไพร บางร้านก็แถวยาวเกินต่อไม่ไหว เช่น ซาลาเปาหม้อดิน ก็เลยข้าม ๆ ไป เจอคนสิงคโปร์ใจดีช่วยแปลภาษาให้ด้วย แต่โดยรวมแล้วรสชาติอาหารไต้หวันคือ ไม่หวานเกิน ไม่เผ็ดเกิน ไม่เค็มเกิน และอะไรที่เป็นแป้งคือหนึบหมด 🥩

Chun Tsui Tang

Raohe Night Market

ในส่วนของโรงแรมก็เจอเรื่องแปลก ๆ คือไม่มีประตูหรือม่านกั้นอาบน้ำ (!!) เราก็เรียกเจ้าหน้าที่ขึ้นมาดู เค้าก็ให้เราเปลี่ยนห้องเลย งงมาก ฮ่า ๆๆ

เที่ยวต่อวันที่ 2

เน้นเดินทางในเมืองชมสถานที่และกินก่อน โดยเริ่มจากกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ Yong-Kang Beef Noodle ซุปหอมอร่อยมาก เนื้อชิ้นใหญ่แต่ไม่เปื่อยมาก เส้นหนึบ ๆ 🍜 จากนั้นก็ไปชม Chiang Kai-shek Memorial Hall และ shopping ที่ Ximending บรรยากาศเหมือนสยามมาก

Yong-Kang Beef Noodle

Chiang Kai-Shek

จากนั้นก็แวะไปชะโงกที่ Longshan Temple พบว่าวัดจีนนี้เขานับถือเทพเจ้าคล้าย ๆ เจ้าแม่กวนอิมเลย (ไม่แน่ใจว่าใช่ไหม) ตอนท่องบทสวดเค้าก็เปิดสมุดอ่านตามเลย แล้วก็ไปกินข้าวหน้าหมูที่ Wang’s Broth อร่อยมาก หมูละลายในปาก รสชาติกลมกล่อม ส่วนหน่อไม้ก็กรอบอร่อย 🍚

Wang's Broth

ปิดท้ายด้วยการไปเดินกิน + ชม view ที่ Jiufen Old Street ซึ่งเป็นถนนที่เป็นแรงบันดาลใจการ์ตูนเรื่อง Spirited Away ก็แวะชิมหลายอย่าง เช่น ไอติมห่อแป้งโรตีโรยถั่วตัดกับผักชี (ตอนนั้นอากาศเลขตัวเดียว กินไอติมเข้าไปก็หนาวสั่นมาก แต่ก็อร่อยดี) ซุปลูกชิ้น 5 สีกับแป้งกุยช่ายทอด (หน้าตามันคล้าย ๆ สมอง 🧠) ละก็แวะดื่มชาที่โรงชา ซึ่งความพิเศษมันอยู่ที่วิธีการดิ่มที่เค้าเอาใบชาอบแห้งมาให้เราต้ม มีขั้นตอนเช่น ต้องล้างถ้วยด้วยน้ำร้อนก่อน มีถ้วยสำหรับดื่มและดมชา!! ต้มชาด้วยน้ำร้อนและรอด้วยเวลา 20-30-40-50 วินาที ตามจำนวนครั้งที่ต้ม เป็นต้น เป็นประสบการณ์แปลกใหม่และไม่นึกว่าการดิ่มชามันจะต้องพิถีพิถันขนาดนี้ แต่ะลองดื่มดมแล้วพบว่าเวลาต้มชามันทำให้รสชาติเปลี่ยนไปจริง ๆ 🍵

Jiufen

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ Uber ในไต้หวันด้วย พบว่าราคาก็พอ ๆ กับ Grab ที่ไทย และคนขับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำให้เราต้องขุดทักษะภาษาจีนมาใช้นิด ๆ หน่อย ๆ หลาย ๆ คำและประโยคที่ลืมไปแล้วก็กลับมาจำได้ใหม่จาก trip นี้เลย

ผจญภัยต่อวันที่ 3

วันนี้เริ่มต้นด้วยการไปปั่นจักรยานเล่นที่ Sun Moon Lake โดยต้องเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงและต่อด้วย Taxi ซึ่งตอนไปเราโชคดีได้เจอ Taxi ดี พูดอังกฤษได้นิดหน่อยแล้วก็เสนอว่าเดี๋ยวตอนเย็นจะมารับกลับด้วยค่า meter เท่ากับขาไปเลย ทำให้เราเที่ยวอย่างสบายใจไม่ต้องไปหารถขากลับอีก ระหว่างทางปั่นไปบรรยากาศดีมากแต่คนก็เยอะมากเช่นกัน (ช่วงที่เราไปเป็นช่วงอากาศดีที่สุดในเดือนธันวาคมพอดี แดดเปรี้ยงไม่เจอฝนเลย ทั้ง ๆ ที่ไต้หวันเนี่ยฝนตกบ่อยมาก) พอไปถึงจุดเส้นชัยที่เป็น visitor center ชอบตรงที่ว่ามีตู้น้ำร้อน-เย็นบริการ เพราะเค้าคิดมาแล้วว่าปั่นขึ้นมาจะต้องหิวน้ำแน่ ๆ ทีนี้ตอนจะปั่นกลับปรากฎว่าโซ่หลุด ต้องหาเจ้าหน้าที่บนนั้นมาช่วยซ่อม ฮ่า ๆๆ 🚲

Sun Moon Lake

Sun Moon Lake 2

พอเอาจักรยานไปคืนเราก็ไปนั่งเรือวนชม 3 จุด ก็จะมี Shuishe -> Xuanguang -> Ita Thao วนไป ซึ่งเราไม่ได้แวะ Xuanguang เพราะตอนแรกตั้งใจะเดินขึ้นไปชม view ที่ Ci’en Pagoda แต่มันปิดแล้ว (ลืม check เวลาเปิด-ปิด) ก็เลยไปแวะตลาดกลางคืนที่ Ita Thao แทน บรรยากาศชิวมาก มีร้องเพลงและของกินอร่อย เช่น แป้งห่อไม้ไผ่ราดซอส BBQ นมข้นหวาน น้ำผึ้ง หรือจะเป็นซาลาเปาหม้อดิน ไส้กรอกไต้หวัน (รสชาติคือเอาความร่วนของไส้กรอกมารวมกับความเหนึยวของไส้อั่ว) และชาเย็นเบอร์ 18 จากนั้นเราก็นั่งเรือกลับฝั่งและขึ้นรถ Taxi ที่นัดไว้ก่อนหน้ากลับบ้าน

Ita Thao Market

ทีนี้แผนคือจะแวะไปกินชาบูหม่าล่า แต่พอไปถึงพนักงานบอกว่าเต็มจนถึงตี 2 เลยจ้า ฮ่า ๆๆ เลยจองไว้ไปกินอีกวันนึงแทน แล้วก็แวะกินร้าน Rakumenya เป็นราเมนมี theme เป็น anime ปิดท้าย

เที่ยวพักผ่อนวันที่ 4

เราเปลี่ยนแผนจากตอนแรกจะไป Taroko Gorge National Park เนื่องจากคำนวนแล้วคือเที่ยววันเดียวไม่ไหว + เหนื่อยมากแน่นอนเพราะต้องตื่นเช้าตรู่เลย เลยตัดทิ้งไปเที่ยวในตัวเมือง Taipei แทน ก็เริ่มจากตื่นสาย ๆ กินข้าวเที่ยงที่ Dian Shui Lou เป็นร้านติ่มซำ เมนูเด็ดคือ Xiao Long Bao ลองแล้วดีงามมาก ดีสุดตั้งแต่กินมาเลย มีหลายไส้ให้เลือก ขนาดข้าวผัดเห็ด Truffle ที่เราไม่ชอบ Truffle เราว่ายังอร่อยมากเลย 🥟

Dian Shui Lou

ต่อมาว่าจะไปดูน้ำพุร้อนที่ Beitou Hot Spring แต่ตรงส่วน highlight เค้าปิดพอดี!! เลยต้องมาใหม่พรุ่งนี้ ก็เลยวนกลับไปที่ Huashan 1914 Creative Park ไปชมงานศิลปะและนั่งชิวที่ Cafe ก่อนไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Elephant Mountain บอกเลยว่าตอนไปคือพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเลย ต้องวิ่งขึ้นเขาไปพร้อมกับสัมภาระบอกได้เลยว่าเหนื่อย แต่เห็น view แล้วก็คุ้มครับ 🌇

Elephant mountain

จากนั้นก็แวะ shopping ที่ Taipei 101 แล้วก็ไปกินชาบูหม่าล่า New Mala Hotpot ที่จองไว้แล้วเมื่อวาน 🍲 สมกับการรอคอยคือคุ้มมาก เนื้อดี น้ำซุปดี (แต่พลาดการลองเมนูเด็ด อัณฑะไก่งวงไป ทำใจกินไม่ได้ ฮ่า ๆๆ) และที่สำคัญคือไอติม Häagen-Dazs แบบ buffet ตักกินจนตัวแตก 🍨

New Mala Hotpot

ปิดท้ายการเที่ยววันสุดท้าย

เริ่มจากการไปเก็บตกที่ Beitou Hot Spring ทั้งหมด รวมถึงส่วน highlight คือ Thermal Valley สวยงามมาก ♨️ และไม่พลาดกับการไปกินไข่ต้มสมุนไพรที่เห็นอยู่ทุกที่ตั้งแต่ริมทางจนถึงร้านสะดวกซื้อ 🥚

Beitou Hot Spring

จากนั้นก็ไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ National Palace Meseum พบว่าแต่ก่อน ทองแดง สำริด หยก มีค่ามาก ๆ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งของไต้หวันกับจีนมากขึ้น แล้วก็แวะไปกินข้าวเย็นที่ตลาดปลา Taipei Fish Market รวมปลาดิบสด ๆ และถูกไว้ที่เดียว ก็สั่งมาชุดใหญ่กินอิ่มหนำกันไป ที่เด็ดมาก ๆ คือ Miso soup ที่มีชิ้นเนื้อปลาอยู่ด้วย ดีงาม 🍣

National palace museum

Taipei Fish Market

ก่อนกลับก็แวะ shopping ที่ Taipei 101 เช่นเคย แต่รอคิวทำ tax refund โคตรนานจนเกือบตกเครื่อง แต่ก็โชคดีที่ flight delay ไปอีก 1 ชั่วโมง มีเวลาหาของกินและของฝากก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งรอบนี้ซื้อ ขนมเค้กสับปะรด ใบชาและ Nougat ไป ที่บ้านชอบมาก 👨‍👩‍👦‍👦

โดยรวมแล้วเป็น trip ที่ประทับใจมาก ทั้งอาหารการกิน สภาพอากาศ ผู้คน และ culture ที่คุ้นเคยจากการไปอยู่จีนมาก่อน และได้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาจาก trip ที่แล้วคือเรื่อง list ร้านอาหารและแผนการเดินทางรอบเกาะ แต่ก็ยังคงต้องแก้ไขเรื่องการจัดการเวลา การฝากรับหิ้วของ และดูวันเวลาเปิด-ปิด เพื่อประสบการณ์การเที่ยวที่ดี ๆ ขึ้นไป 🇹🇼