เมื่อเดือนพฤศจิกายน มีโอกาสได้ไปเที่ยว Tokyo เป็นครั้งแรก เวลา 4 วัน 3 คืน เป็น trip ที่ครบรส ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก ตื่นเต้น และประทับใจ เลยมาบันทึกเป็นความทรงจำไว้หน่อย

การเตรียมตัวไป

ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่ไม่ได้อินอะไรกับ culture ของญี่ปุ่นเลย (ยกเว้น อาหาร ฮ่า ๆ) หลาย ๆ คนก็พูดกันว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วก็สังเกตว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ไปญี่ปุ่นกันเรื่อย ๆ ทุกปีในช่วงก่อน COVID อยู่แล้ว ประกอบกับว่าช่วงนั้นเพิ่งจบ project มาพอดี เลยลองไปดูสักครั้ง

  • จองตั๋วเครื่องบินของ ZIPAIR (มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย เดี๋ยวจะอธิบายข้างล่าง)
  • จองโรงแรมของ Tokyo Stay Ikebukuro
  • ทำประกันภัยท่องเที่ยว
  • เตรียม Pocket Wifi
  • แลกเงินสด
  • เตรียมเอกสารพวก COVID e-certificate
  • ที่ประทับใจสุดคือการลงทะเบียน immigration สามารถเข้าไปกรอกใน website รวมถึงส่งเอกสารแบบ copy ทั้งหมดได้เลย แล้วเราจะได้ QR code มา พอถึงสนามบินเราก็แค่ยื่น QR code ให้เค้า scan โดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารอย่างอื่นมาเอง สะดวกมาก ๆ

ออกเดินทางวันแรก

เนื่องจากเป็น flight ดึก ช่วงกลางวันเราเลยงีบรอมาละ เพราะกะจะนอนบนเครื่องน้อยหน่อย เพราะนอนบนเครื่องมันยากลำบากมาก ขนาดครั้งที่แล้วที่ไป USA แล้วนั่ง business class ยังหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่อุปสรรคแรกก็มาถึงคือ โดนคนญี่ปุ่นแซงคิว เป็น culture shock มาก ๆ เพราะเราคิดว่าคนญี่ปุ่นทุกคนไม่น่าจะแซงคิวใคร กลายเป็นว่ามาแซงคนไทยที่ประเทศไทย งงไปตาม ๆ กัน

อุปสรรคต่อมาคือ flight delay จาก 5 ทุ่มเป็นตี 2 ครึ่ง ทำให้แผนการเที่ยววันแรกทุกอย่างต้องถูกปรับใหม่ทั้งหมด เพราะเรามีเวลาเที่ยววันแรกน้อยลง เวลาที่จะเห็น view แสงอาทิตย์ก็น้อยลง สิ่งที่ดีใน flight นี้คือเครื่องบินเค้ามี plug และ Wifi ที่ก็พอใช้แก้ขัดได้อยู่ ส่วนเรื่องนอนนั้นกลายเป็นว่าไม่ได้งีบเลยเพราะมันเลยเวลานอนไปหมดแล้ว พอถึง Tokyo ยังไม่ได้เที่ยวก็เหนื่อยแล้ว แต่ก็พอเดาได้ว่า view ที่จะเห็นในหลาย ๆ ที่มันต้องสวยแน่ ๆ เพราะช่วงที่ไปมันเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเด็ก ๆ เค้าอิน Baseball มากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย เห็นเด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นจริงจังมาก ⚾️

ด้วยความที่พระอาทิตย์จะตกเราเลยต้องรีบเที่ยวใน Sensoji Temple หน่อย ถึงแม้จะใช้เวลาในนั้นไม่เยอะ แต่ก็ได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นดื่มเหล้าเก่งมากและดิ่มตั้งแต่หัววัน 🍻 สุดท้ายเราก็ไปทัน view ที่ Tokyo Skytree ตอนพระอาทิตย์ตกพอดี สวยงามมาก ตกกลางคืนก็แวะไปเปิดหูเปิดตาที่ Akihabara มีของ electronic ขายแบกสากกะบือยันเรือรบหลายร้านติด ๆ กันเลย ปิดท้ายด้วยกิน Yankiniku ที่ Midouen เนื้อดีแบบฟิน ๆ กันไป จากใจคนไม่ชอบเนื้อมันแตกละลายในปาก พนักงานร้านใจดีด้วย ตอนที่ไปคนในร้านเต็ม เค้าเลยพาเดินไปอีกสาขานึงใกล้ ๆ กัน ประทับใจ 🥩

Tokyo Skytree

การเดินทางจัดว่าสะดวกสบายมาก ทุกอย่างเชื่อมกันผ่านรถไฟฟ้าหมดเลย แค่เราต้องพึ่ง Google Map ตลอดเวลาเพื่อดูว่าเราต้องไปขึ้นขบวนแลชานชาลาให้ถูกก็พอ และต้องจำทางเข้า-ออกสถานีจากโรงแรมให้ได้

พูดถึงโรงแรมแล้วทำเลที่ตั้งเหมือนเป็นถนนธนิยะของญี่ปุ่นเลย มีร้านอาหารต่างชาติ (รวมถึงไทยด้วย) เยอะ นอกจากนั้นยังมีขาบยริการด้วยเพียงแต่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายแต่งตัวดีมายืนตามสี่แยกแล้วก็เรียกแขกผู้หญิงแทน

ผจญภัยวันที่ 2

เริ่มการผจญภัยที่ Lake Kawaguchiko เช่าจักรยานปั่นชมบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี 🍁 มีอุปสรรคคือการจัดการเวลาที่คำนวนพลาด ไม่นึกว่าจะใช้เวลาปั่นรอบเกาะนานขนาดนั้นเลยจำใจต้องสละตั๋วรถไฟกลับไปแลกกับการปั่นแบบไม่ต้องชะโงกทัวร์มาก ก็กินข้าวระหว่างทางกันไป แล้วตอนปั่นไปฝนดันตกลงมาอีกทั้งเปียกและหนาว ทำให้ลืมดูทางหลงจากเส้นทางจักรยานไปปั่นเส้นปกติจนต้องขึ้นลงเนิน จนสุดท้ายไปโผล่ที่สะพานข้ามแม่น้ำที่เห็นภูเขาไฟ Fuji พอดี เสียดายที่ไม่เห็นยอดเพราะเมฆฝนบัง ทั้งยังต้องวิ่งมาขึ้นรถไฟต่อเกือบตกขบวน เหนื่อยมากแต่ก็สนุก 🗻

Lake Kawaguchiko

กลับมาก็แวะกินข้าวที่ Ichiran Ramen ซึ่งก็คือราเมนข้อสอบเจ้าต้นฉบับ อร่อยมาก 🍜 และชอบแนวคิดของร้านที่เตรียมไว้สำหรับคนที่เป็น introvert ไม่กล้าเข้าสังคมหรือแม้แต่พูดคุยกับพนักงาน ตั้งแต่การสั่งจนถึงกินจนถึงคิดเงินไม่มีขั้นตอนไหนจำเป็นต้องพูดเลย แล้วก็แวะ shopping ที่ Shimo-Kitazawa เน้นขายเสื้อผ้ามือสอง แน่นอนว่าตาดีได้ตาร้ายเสียก็เลยไม่ได้อะไรกลับไป แต่ก็เปิดโลกว่าเดี๋ยวนี้เสื้อผ้ามือสองญี่ปุ่นคุณภาพดี ๆ ก็มีเยอะนะ

เที่ยวต่อวันที่ 3

วันอยากพักแบบ chill ไม่ต้องออกแรงเยอะเหมือน 2 วันแรกเลยเริ่มต้นด้วยไปถีบเรือเป็ดที่ Ueno Park ไม่มีคนเลยโล่งเงียบเกิน ฮ่า ๆๆ 🦢 ต่อมาก็ไปกิน Don หน้าปลาดิบต่าง ๆ ที่ Minatoya ตรงถนน Ameyoko ถูกมาก สดอร่อยมาก อร่อยยันน้ำชาที่เค้าให้กดเติมฟรี ฮ่า ๆ ที่ไทยขายชามขนาดนั้นราคาไม่ต่ำกว่า 500 บาท ที่นี่ขาย 750 เยน (ไม่เกิน 200 บาท) ต่อมาก็แวะไปดูนิทรรศการที่ teamLab Planets Tokyo เกี่ยวกับการเล่นแสงกับเสียง อลังการมาก มีอันนึงเราดูไปน้ำตาไหลไปเหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกนั้นเลย

Minatoya

จบนิทรรศการเราก็ไป shopping ที่ Shinjuku ซึ่งเป้าหมายหลักของเราคือรองเท้าผ้าใบ เพราะได้ยินว่าถูกกว่าไทยมาก กลับกลายเป็นว่านอกจากหา model ที่ชอบไม่ได้เพราะมัน hype ช่วงนี้พอดี (เราไม่ได้ศึกษามาก่อนด้วยแหละ) ยังหา size ยากด้วยเพราะคนญี่ปุ่นเท้าเล็ก เค้าเลยเอาเข้ามาขายก็ไม่เกิน size 9.5 US (เราใส่ 10.5 US) เศร้ากันไป เลยได้รองเท้าคู่เดียวมาปลอบใจ ปิดท้ายด้วยกิน Sushi ที่ Sushimaru อร่อยมาก เน้นบริการคนต่างชาติ ครั้งหน้าอยากลองคน local บ้าง 🍣 ปิดท้ายด้วยการไปเดินชมไฟ Christmas (ที่ไม่ค่อยอลังการเพราะยังไม่ถึงเทศกาล) ที่ Roppongi Hills ซึ่งเป็นย่านหรูหรา รถยุโรป อาคารตกแต่งแนวยุโรป มีแต่ brand name ที่ไม่คิดว่าจะมีในญี่ปุ่น

ในที่สุดเราก็ได้ใช้บริการห้องน้ำสาธาณะของญี่ปุ่นสะที ตะลึงกับความสะอาดและเป็นแบบ automatic ไม่ต้องมีสายฉีดเอง ส่วนกระดาษมันหยาบ ๆ เหมือนหนังสือพิมพ์ แปลกดี 🚽

ปิดท้ายด้วยวันที่ 4

ก่อนกลับแวะที่ไป Shibuya เพื่อไปเดินข้ามแยกในตำนาน เป็นความใฝ่ฝันมานาน พร้อมกับชม view นั้นบน Starbucks ก่อนที่จะไป shopping ที่ Donki ได้ขนมมานิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ปิดมื้อด้วยร้าน Udon + Tempura ชื่อ Marugame Seimen Dougenzaka ให้อารมณ์แบบโรงอาหารค่อย ๆ สั่งค่อย ๆ เลื่อนแถวไป ในส่วนของอาหาร ให้เยอะมาก น้ำซุปอร่อย เส้นสดหนึบมาก ส่วน Tempura ก็กรอบ ไม่อมน้ำมัน ก่อนจะบินกลับไทยโดยที่ flight delay ไปอีก 1 ชม. อีกแล้ว ยังดี download บอลโลกคู่เก่า ๆ มาดูแก้เบื่อ + งีบกันไป

Marugame Seimen Dougenzaka

โดยรวมแล้วเป็น trip ที่ประทับใจมาก ทั้งอาหารการกิน สภาพอากาศ การใช้ชีวิต และ culture ในการใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างแบบ “เค้าคิดมาแล้ว” ของคนญี่ปุ่น และคลายความสงสัยในตัวเองว่าทำไมคนไทยถึงชอบมาญี่ปุ่นกัน เราเองก็จะเป็นหนึ่งในคนที่อยากจะกลับไปเที่ยวอีก 🇯🇵