เมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสอ่านบทความและเรียนเรื่องจิตวิทยามาเยอะพอสมควรซึ่งเราก็ได้เกร็ดความรู้อื่น ๆ ประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มีความเกี่ยวกับอะไรสักเท่าไร แต่กลัวจะลืมเลยมาเขียน blog ไว้ก่อน

เกร็ดที่ 1: ชมอย่างไรให้คนถูกชมรู้สึกดีในระยะยาว

มันมีงานวิจัยของ Dr. Carol Dweck ที่ว่าด้วยเรื่อง “การชม” แล้วสะดุดมาก เพราะการแค่พูดว่า “เก่งจัง” มันไม่ได้จบอยู่ที่ตรงนั้นแต่มันมีผลกับวิธีที่คนมองตัวเองในระยะยาว งานวิจัยเขาบอกว่า

การชมที่เน้น “ผลลัพธ์” อาจทำให้คนกลัวความล้มเหลว เสี่ยงทำให้เขาไม่กล้าพลาดในอนาคต แต่การชม “ความพยายาม” ทำให้คนกล้าล้ม แล้วลุกเรียนรู้ต่อได้

ยกตัวอย่าง เด็กคนหนึ่งสอบได้ 100 คะแนนเต็ม ถ้าชมว่า “เก่งมากเลย ได้เต็ม!” เด็กอาจเริ่มกลัวว่าครั้งหน้าจะไม่ได้เต็มแล้วโดนมองว่าไม่เก่ง แต่ถ้าชมว่า “เห็นเลยว่าหนูขยันอ่านมาก” มันสื่อว่า ความพยายาม คือสิ่งที่ควรภาคภูมิใจ ไม่ใช่แค่ผล

สิ่งนี้เอามาใช้กับผู้ใหญ่ก็ได้เหมือนกัน เช่นลูกน้องทำ project ออกมาดี ถ้าบอกแค่ “เก่งจังเลย” มันดูเบา ๆ แต่ถ้าบอกว่า “เห็นเลยว่าเธอวางแผนดีมาก แล้วก็ไม่ยอมแพ้แม้งานจะหนักขนาดนั้น” แบบนี้ impact จะลึกกว่าเยอะ

เกร็ดที่ 2: ​Common sense มันมีอยู่จริงหรือ

เคยเจอสถานการณ์ที่รู้สึกว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ แบบนี้นะ” แล้วก็รู้สึกหัวร้อนหน่อย ๆ ไหม(หรือมากกว่าหน่อย ฮ่า ๆๆ) ถ้าเคยเจอมันอาจจะหมายความว่า

“สิ่งที่คุณคิดว่าเป็น common sense อาจเป็นจุดแข็งเฉพาะทางของคุณเองก็ได้”

ซึ่งแนวคิดเรื่องจุดแข็งมันมาจาก CliftonStrengths (หรือที่อาจจะรู้จักในนาม StrengthsFinder) ซึ่งเป็นแบบประเมินเพื่อค้นหาจุดแข็งของตนเอง หากเรานำจุดแข็งตามแบบประเมินมาวิเคราะห์กับ common sense ก็จะได้ตัวอย่างประมาณว่า

  • คนที่มี Deliberative (มีความคิดละเอียดรอบคอบ คิดรอบด้าน และจะเกลียดมาก หากถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งในทันที) อาจมองว่า “คิดให้รอบคอบก่อนพูด” เป็นสิ่งธรรมดา
  • แต่คนที่มี Activator (ขาลุย ไม่ต้องคิดเยอะ แต่ลงมือทำเลย ตื่นเต้นไปกับไอเดียใหม่ ๆ ตลอดเวลา) อาจรู้สึกว่า “ลงมือก่อนแล้วค่อยเรียนรู้” คือเรื่องธรรมชาติ

ทั้งคู่ไม่ได้ผิด แค่มีจุดแข็งต่างกันเท่านั้นเอง หากเรามีความเข้าใจเรื่องนี้ เราจะเริ่มเปลี่ยนจาก คนที่ชอบ judge คนว่า “มันเป็น common sense ง่าย ๆ ไม่เข้าใจ โง่จริง ๆ” มาเป็น “เขาอาจไม่ได้มีเลนส์เดียวกับเรา”

หลีกเลี่ยงการใช้ “common sense” เป็นบรรทัดฐานตัดสินคน เพราะสิ่งที่ common สำหรับเรา อาจเป็นจุดแข็ง เฉพาะของเราเอง

เกร็ดที่ 3: อำนาจมีหลายหน้า ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง

มันมีแนวคิดเกี่ยวกับฐานของอำนาจ (Bases of Power) ของ French & Raven ที่พูดถึงแหล่งที่มาของอำนาจ

เรามักคิดว่า คนมีตำแหน่ง = คนมีอำนาจ แต่จริง ๆ แล้วเขาแบ่งอำนาจเป็น 6 ประเภท ที่คนใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว:

ประเภทอำนาจ อธิบายง่าย ๆ
Legitimate คนเชื่อฟังเพราะเขามีตำแหน่ง
Reward คนเชื่อฟังเพราะเขาให้ของที่เราอยากได้ (bonus/ตำแหน่ง)
Coercive คนเชื่อฟังเพราะกลัวโดนลงโทษ
Expert คนเชื่อฟังเพราะเขาเก่ง
Referent คนเชื่อฟังเพราะเขาน่าชื่นชม
Informational คนเชื่อฟังเพราะเขาถือข้อมูลสำคัญ

ซึ่งเราก็จะเห็นกันในสังคมทั่วไป เช่น บางคนอาจไม่ได้มีตำแหน่งอะไรใหญ่โต แต่คนในทีมพร้อมฟัง เพราะเขา “รู้จริง” หรือ “พูดแล้วน่าเชื่อถือ” ตรงนี้แหละคือ Expert + Referent

การเข้าใจว่าอำนาจมาจากหลายแหล่งจะช่วยให้เรารู้ว่าเรามี “อำนาจบางอย่าง” อยู่เสมอ แปลว่าเราสามารถมีอิทธิพลต่อคนอื่นโดยไม่ต้องใช้อำนาจแบบบังคับได้เสมอ

เกร็ดที่ 4: เต๋าสอนให้ยอมแพ้แต่ไม่แพ้

ถ้าใครเคยอ่าน Tao Te Ching ของเล่าจื๊อ แวบแรกมักจะคิดไปว่านี่คือหนังสือที่อ่านแล้วเหมือนไม่ได้บอกอะไร แต่คนที่อินและศึกษาต่อจะบอกว่ามันมีแก่นซ่อนอยู่ในนั้นเยอะมาก หนึ่งในสิ่งที่คนอินคือแนวคิดเรื่อง “อู๋เว่ย” (無為) – การไม่ฝืนธรรมชาติ คือบางทีพอเราหยุด “บังคับให้มันต้อง work” มันกลับ work ได้ดีกว่าเดิมเอง ดังคำกล่าวที่อยู่ในเต๋าอย่างเช่น

“ความอ่อนชนะความแข็ง”

“ความว่าง ความเงียบ ความนิ่ง คือพลังที่แท้จริง”

“ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือผู้ที่ผู้คนแทบไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ เมื่อภารกิจลุล่วง และเป้าหมายสำเร็จ ผู้คนจะพูดว่า ‘เราทำมันได้เอง’”

แนวคิดเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์เอาไปใช้จริง ๆ เช่น เวลาประชุมทีม จากเดิมที่พยายามควบคุมทุกสถานการณ์ แก้ไขทุกคำตอบที่ออกจากปากทุกคน กลายเป็นปล่อยให้คนพูด แล้วเราแค่ฟัง ปรากฏว่าคนในทีมเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของมากขึ้นเองเฉยเลย

บางครั้งเราไม่ต้องพยายามควบคุมทุกอย่างก็ได้ แค่ทำให้ระบบมันไหลไปตามธรรมชาติ และเราก็อยู่ตรงนั้นแบบเงียบ ๆ แต่มีพลัง ก็เป็นการทำที่ดีที่สุด