หลังจากทำงานใน project อยู่ 6 เดือนจนจบแล้วก็พบว่าเราไม่ได้ลาพักร้อนเลย พอคนถามเราก็เล่าให้ฟังว่าทำ project จนติดลมก็เลยไม่อยากลาเพราะคิดว่าโอกาสได้ทำ project ดี ๆ คงน้อย หลายคนก็เตือนมาว่า “หาเวลาพักผ่อนบ้างนะ เดี๋ยวจะ burnout ซะก่อน” ปกิตแล้วเราจะไปเที่ยวกับเพื่อนและครอบครัวมากกว่า แต่โตไปมันก็หาเวลาว่างตรงกันยากจริง ๆ ก็เลยตัดสินใจออกจาก comfort zone ด้วยการ “เที่ยวคนเดียว” ซะเลย

เตรียมตัวก่อนไป

ก่อนหน้านี้การเที่ยวคนเดียวมันดูเป็นเรื่องยากสำหรับเราเนื่องจาก

  • จะเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ยังไงในเมื่อไม่มีรถส่วนตัว จะเช่ารถก็ขับรถก็ไม่เป็น ฮ่า ๆ
  • จะทำกิจกรรมที่ต้องใช้หลาย ๆ คนก็ต้องไปร่วมกับคนอื่น ๆ เค้าจะโอเคไหม

แต่ด้วยความที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากพักผ่อนจากการทำงานก็ทำการเลือกที่เที่ยวโดยเลือกอันที่คลายข้อกังวลข้างบนได้ ก็ได้ออกมาหลายที่เลยนะ สุดท้ายก็เลือก “เชียงคาน” ละกัน โดยเราก็จองตั๋วเครื่องบิน-โรงแรม โดยสายการบินเค้าก็จะมีรถตู้ City Transfer ไปรับ-ส่ง สนามบินเลย-เชียงคาน ตามรอบ flight เลย สะดวกมาก ๆ

Loei Airport

กิจกรรมที่ไปทำ

ปกติไปเที่ยวกับคนอื่นก็จะมีกิจกรรมมากมายก่องกองที่ไปทำด้วยกัน มันก็สนุกมากเลยนะแต่ก็เหนื่อยเช่นกัน การเที่ยวครั้งนี้เพื่อปลีกวิเวกก็เลยวางแผนเปลี่ยนแนวทางเป็นสายชิว กิจกรรมน้อยเน้นกินและพักผ่อนนอนหลับเต็มอิ่ม แต่พอนั่งรถตู้มาลงเชียงคานจริง ๆ ก็เจออุปสรรคเลยคือ

  1. เราจองที่พักห่างออกมาจากหมู่บ้านกิโลนึง ดูในแผนที่ก็โอเคนะ แต่พอเจอเข้าจริงเส้นทางจากหมู่บ้านไปที่พักมันไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ต้องเดินขึ้นเนินลงถนนหลัก ประเด็นคือจองไว้ 4 วัน 3 คืน ดังนั้นพอออกไปข้างนอกแล้วเราจะเดินกลับที่พักทุกครั้งเลยไหม
  2. พยากรณ์อากาศคืออากาศไม่ร้อนมากมีฝน ซึ่งดูโอเคมาก ๆ เพราะอยู่ริมแม่น้ำโขงประกอบกับต้นไม้เยอะ แต่เจอเข้าจริงอากาศตอนกลางวันร้อนมาก ร้อนกว่าที่บ้านอีก ฮ่า ๆๆ

ดังนั้นพอวันแรกเอาสัมภาระมาด้วยก็เลยเช่าจักรยานปั่นไปที่พักไม่ได้ ก็เลยต้องเดินเอากลางแดดจ้าเลย พอ check-in เสร็จก็อาบน้ำนอนเลย ไม่ไหว ฮ่า ๆ

Mekong River Noon

ตื่นมาก็มาชมวิวริมแม่น้ำโขงก็ให้รูปถ่ายมันบรรยายเอาละกันครับ ตกเย็นก็เดินไปถนนคนเดินหาของกินอร่อย ๆ นอกจากบรรยากาศที่สุด romantic และโคตรชิวแล้วเท่าที่จำได้ก็จะลองของกินที่ไม่เคยกินมาก่อน เช่น

  • ข้าวจี่
  • ไข่ยัดไส้จิ้มแจ่ว
  • ไข่ป่าม
  • ไอศครีมบาหยัน (ไอศครีมกะทิใส่แคนตาลูป + มะพร้าว)
  • มะพร้าวแก้ว (ซื้อกลับมาฝากที่บ้านและเพื่อนบ้านเป็น 10 ห่อ)
  • ข้าวเปียก (ก๋วยจั๊บญวน)

จนค่ำก็จ้างสามล้อที่เค้ารออยู่แถว ๆ วัดไปส่งที่พักเอาเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่กล้าเดินมันอันตราย (หมาดุ!) แล้วก็คุยกับพี่เค้าเพื่อพาไปชมทะเลหมอกที่ภูทอก ต่อราคากันก็ได้ 150 บาท พี่เค้าก็มารับแต่เช้าตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเชียว ทางที่ขึ้นไปก็มืดมิดเหลือเกิน

Skylab

ด้วยความที่เป็น low-season คนตามที่ต่าง ๆ เลยน้อยมาก ภูทอกก็เช่นกัน เรามาถึงทางขึ้นคนแรกก็เลยต้องนั่งรอนักท่องเที่ยวมาเพิ่มเพื่อนั่งกระบะขึ้นไปชมทะเลหมอก น่าเสียดายที่วันนั้นเมฆฝนเยอะมากท้องฟ้าก็เลยไม่ค่อยเปิด แต่โชคดีที่ได้เห็นแสงอาทิตย์แรกแบบแวบ ๆ 5 นาที บวกกับทะเลหมอกบาง ๆ คุ้มมาก ๆ ครับ จินตนาการไปไกลเลยว่าถ้ามาตอนหน้าหนาวคงสวยไปอีกแบบ แต่คนก็คงเยอะมากตามไปเช่นกัน

Phu Thok

ช่วงกลางวันแทนที่จะไปชะโงกทัวร์ตามสถานที่ต่าง ๆ เหมือนคนอื่นเค้า เราก็พักผ่อนอยู่ในที่พัก นอน ดูทีวี เขียน blog สรุปหนังสือที่ได้อ่านในปีนี้ และได้ทบทวนช่วงชีวิตที่ผ่านมาบ้าง มื้อเที่ยงเราก็ปั่นจักรยานที่เช่าจากในหมู่บ้านไปกินข้าวตามร้านต่าง ๆ ในหมู่บ้านและร้านละแวกใกล้ ๆ เช่น

  • จุ่มนัว (สุกี้ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวราดด้วยซอสเต้าหู้ยี้)
  • บะหมี่หมูแดงหมูกรอบร้านเก่าแก่

จากนั้นก็ปั่นแวะชมวิวริมแม่น้ำโขง ถึงแม้จะร้อนแต่ก็ได้ใกล้ชิดกับคนละแวกนั้น เข้าใจวิถีชีวิตของคนริมแม่น้ำโขง ทุก ๆ ครั้งที่เราคุยเราก็จะบอกว่า “คนน้อยนะครับ” พอย้อนกลับไปคิดคือเหมือนมีปมในใจ แต่แท้จริงแล้วคือเราชอบมาก ๆ เพราะว่าเราไม่ชอบอยู่ที่คนเยอะ ๆ มีพื้นที่และเวลาฟุ้งซ่านปล่อยให้ความคิดมันไหลและเพลิดเพลินไปกับมัน

ตกเย็นก็ปั่นจักรยานชมวิวพระอาทิตย์ตก ด้วยความที่ึคนน้อยการกินข้าวนั่งวิวริมแม่น้ำเป็นเรื่องง่ายดาย แต่วันสุดท้ายเพิ่งมารู้ว่าเค้ามีบริการนั่งเรือชมวิวแม่น้ำโขงฝั่งไทย-ลาวด้วย เสียดายที่ไม่ได้จองไว้ก่อนเรือเค้าออกไปแล้ว ครั้งหน้าต้องไม่พลาดนะ ฮ่า ๆๆ

Mekong River Sunset

ตื่นเช้ามาในวันอื่นก็ไปวิ่งริมแม่น้ำโขงตามเส้นทางที่เราเคยปั่นจักรยานมาดูลาดเลา ถึงแม้ฝนจะตกก็ช่างมันเพราะครั้งนี้เราเตรียมหมวก cap มาแล้ว ด้วยความที่อากาศดีมีลมสบายก็จัดไป 13 กม. เป็นการฝึกไปวิ่ง half marathon ไปในตัว จากนั้นก็กินแล้วก็พักผ่อน เดินทางกลับบ้านสบาย ๆ ด้วยรถตู้ของสายการบินเป็นอันจบ trip

Phi Ta Khon

จากการไปเที่ยวเชียงคานก็พบว่าการเที่ยวคนเดียวมันก็ไม่ได้ยากนี่หว่าแถมชอบด้วยซ้ำ การออกจาก comfort zone คิดอยากลองอะไรลองเลยครั้งนี้มันคุ้มค่าจริง ๆ แน่นอนว่าเราปรับทับใจในเชียงคานและอยากจะกลับไป “ปลีกวิเวก” อีกครั้ง