ประสบการณ์เรียน Hyper Productivity & Key Differentiations Based on NVC
ช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเรียนคลาส Hyper Productivity กับบริษัท ODDS ซึ่งเขาเปิด 2 public course ก็คือ
- Hyper Productivity
- Key Differentiations Based on NVC
ก็เลยบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้สักหน่อย
Hyper Productivity
Hyper Productivity คือ สถานะการทำงานที่เราสามารถใช้พลังหรือแรงที่คุ้มหรือมากกว่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งไม่ได้เกิดจาก การทำงานแบบเร่ง speed หรือทำหลายอย่างพร้อมกัน แต่จะเน้นไปทางการทำงานแบบ “ลื่นไหล มีพลัง และยั่งยืน” ซึ่งไอคำว่า “ลื่นไหล” (Flow) มันคือสิ่งที่ทำให้เกิด Hyper Productivity ได้นั่นเอง
Flow คืออะไร?
Flow คือช่วงเวลาทางจิตใจในขณะนึงที่เราทำอะไรซักอย่าง แล้วอินสุด ๆ ลืมเวลา ลืมหิว สนุกและมีสมาธิกับสิ่งที่ทำแบบสุดตัว ซึ่ง Flow จะเกิดได้ต่อเมื่อ ความท้าทาย ของงานอยู่ระดับที่กำลังดี และ ทักษะ เราพอมีพอไหว เพราะ
- ง่ายไป = เบื่อ
- ยากพอท้าทาย = น่าสนุก อยากลอง
- ยากมาก = ล้มเหลวบ่อย แต่ภูมิใจถ้าทำได้
- ยากเกิน = เครียดไปเลยจ้า
https://en.wikipedia.org/wiki/Flow_(psychology)
Flow จะอยู่ที่ช่วง “น่าสนุก ต้องลองดู” ซึ่งพอเข้าใจเรื่องนี้ เราก็จะเริ่มออกแบบแนวทางการทำงาน หรือออกแบบ task ให้ตัวเองเข้าช่วงนี้ได้บ่อยขึ้น
4 องค์ประกอบของการเข้าสู่ Flow
-
Responsiveness (การตอบสนองเร็ว) ยิ่ง feedback มาไว สมองเรายิ่งเรียนรู้ไว นึกสภาพว่าซ้อมเล่น piano ถ้ากดแล้วต้องรอ 15 นาทีกว่าเสียงจะดัง = ช้าเกินไป ไม่สนุก แต่ถ้ากดแล้วเสียงออกปุ๊บ สมองจะ connect ว่า “อ๋อ กดแบบนี้ได้เสียงแบบนี้” = มีแนวโน้มที่จะสนุกมากเกิน ใช้ในชีวิตจริงก็เช่น
- ให้ feedback กันบ่อย ๆ
- ทำระบบงานให้คนรู้ว่าเขาทำถูกทางไหม
- ให้ progress tracking ที่เห็นพัฒนาการได้
-
Motivation (แรงจูงใจ) คนที่เจออุปสรรคแล้วเดินหน้าต่อได้ มักมีความเชื่อแรงกล้าในเป้าหมายของตัวเอง และเขาจะสะสมความสำเร็จทีละนิด ๆ จนเกิด Spin Up คือความมั่นใจจะเพิ่มสะสมไปเรื่อย ๆ วิธีเริ่มง่าย ๆ คือ
- ตั้งเป้าเล็ก ๆ แล้วทำให้สำเร็จ
- สำเร็จแล้วฉลองเลย ไม่ต้องรอสำเร็จใหญ่
-
Communication (การสื่อสาร) ความเข้มของสื่อและสารมีควาทสำคัญต่อ Flow ซึ่งถ้าเลือกผิดคนก็เข้าใจผิดได้ง่าย ๆ
- สื่อยิ่งเข้ม ยิ่งลดการตีความผิด เช่น พูดต่อหน้า > โทรหา > ส่งเสียง > พิมพ์แชท
- สารก็ต้องออกแบบให้เหมาะกับคนฟัง เช่น
- คนใหม่ = อธิบายละเอียด
- คนเก่งแล้ว = ใช้ keyword ได้เลย
หลายครั้งเราเผลอใช้สื่อที่เบาไปกับเรื่องที่ sensitive พอคนตีความผิด = ดราม่า พอเข้าใจตรงนี้ ก็ช่วยลดเรื่องบาดหมางแบบไม่ตั้งใจได้เยอะมาก ซึ่งมันจะโยงไปที่ Non-violent Communication
-
Childishness (ความเป็นเด็ก) เด็กเวลาล้มแล้วลุก เล่นใหม่ได้ตลอด เพราะเค้ามี “ภาพของความสำเร็จ” ชัดมากในหัว ถ้าเราลองนึกภาพความสำเร็จไว้ก่อนเริ่มทำ สมองจะเริ่มจัดระเบียบวิธีไปสู่เป้าหมาย สรุปคือ แค่จินตนาการแบบเด็ก ๆ ก็ช่วยให้มี power ไปต่อมากขึ้นแล้ว
Hyper Productivity กับสมองและ hormone
การจะเข้าสู่ภาวะ Hyper Productivity ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิคการทำงานอย่างเดียว แต่มันลึกไปถึง “การเข้าใจสมอง” และ “จัดสภาพแวดล้อมให้สมองทำงานได้อย่างที่มันถนัด” ผู้สอนเปรียบเปรยว่าสมองคนเราทำงานแบบ “Dual system” เหมือนกับการขี่ช้าง
- 🐘 ช้าง = สมองซีกขวา (อารมณ์ ความรู้สึก แรงขับภายใน) – คิดเร็ว, อัตโนมัติ, ทำงานจากความเคยชิน, อารมณ์นำ
- 🧍♂️ ควาญช้าง = สมองซีกซ้าย (เหตุผล การวางแผน ความตั้งใจ) – ช้เหตุผล, มีสติ, ช้ากว่า, ใช้พลังงานสูง
เราจะ productive ได้ในระยะยาว ก็ต่อเมื่อ ช้างกับควาญช้างร่วมมือกัน ไม่ใช่ฝืนบังคับแต่ควาญช้าง เพราะพลังของควาญช้างมัน “หมดได้”
เวลาที่เราฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ = ใช้ System 2 ล้วน ๆ -> เหนื่อยง่าย หมดไฟเร็ว แต่ถ้าเรา “ออกแบบงานให้ System 1 สนุกด้วย” -> Flow จะเกิดขึ้นง่าย -> Productivity จะมาแบบเพลิน ซึ่งเกิดการการหลั่ง hormone ต่าง ๆ ตามองค์ประกอบของ Flow เช่น
- Dopamine กับความสำเร็จเล็ก ๆ: เวลาทำอะไรเล็ก ๆ แล้วสำเร็จ สมองจะหลั่ง dopamine ออกมา เมื่อหลั่งออกมาจะรู้สึกดี -> อยากทำต่อ
- Cortisol กับความเครียด: ถ้าเราทำงานภายใต้ความกดดัน ไม่รู้เป้าหมาย หรือเจอ feedback ช้าเกินไป สมองจะหลั่ง cortisol สูงขึ้น -> เครียด -> เข้า Flow State ยากมาก
- Oxytocin กับความเชื่อใจ: การสื่อสารที่อบอุ่น รับฟังกัน หรือรู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว จะหลั่ง oxytocin ซึ่งช่วยลด cortisol และเปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ทำงาน
Flow จะเกิดเมื่อสมอง 3 ส่วนนี้อยู่ในสถานะพอดี ๆ กัน
ส่วนสมอง | ทำหน้าที่ |
---|---|
Prefrontal Cortex | Focus ตัดสิ่งรบกวน |
Hippocampus | จำ-เชื่อมโยงข้อมูล |
Amygdala | ความกลัว, ระวังภัย |
โดยสรุปคือ Flow คือ “กลไกหลัก” ส่วน Hyper Productivity คือ “ผลลัพธ์” ที่ได้จากการจัดสภาพแวดล้อม + วิธีคิดให้ Flow เกิดขึ้นซ้ำได้เรื่อย ๆ บ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเอง
NVC: สื่อสารแบบไม่ฟาดฟันกัน
บทความก่อนหน้านี้ที่เคยเรียน NVC
เรียน Flow แล้ว เหมือนเข้าใจสมองซีกหนึ่ง แต่พอได้อ่านเรื่อง NVC ก็เข้าใจ “หัวใจคน อีกซีกนึงเหมือนกัน
NVC (Non-Violent Communication) มันคือวิธีการให้เราสื่อสารโดยไม่มีความรุนแรง หลายครั้งที่เราปะทะกัน ไม่ใช่เพราะเนื้อหาที่พูด แต่เพราะ “วิธีพูด” และ “สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น”
โดย “สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น” มันคือ “ความรุนแรงจากการยึดติดในคุณธรรม” (เช่น ดี-ชั่ว, ควร-ไม่ควร, ถูก-ผิด) เพราะพอเราคิดว่าเรา “ถูก” คนอื่นก็ต้อง “ผิด” ทันที ความรุนแรงจึงเริ่มต้นจากสิ่งที่ดูดีนี่แหละ
NVC ไม่ได้แปลว่าไม่มีอารมณ์ แต่คือการสื่อสารด้วย “คุณค่า” แทนที่จะใช้ “คุณธรรม” ฟาดฟันกัน โดยต้องบาลานซ์ 3 อย่างให้ดีซึ่งก็คือ ตัวเอง – ผู้อื่น – บริบท
แนวคิดของ NVC คือให้เริ่มจากการแยกให้ออกว่าอะไรคือ ข้อเท็จจริง และอะไรคือ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ของแต่ละคน โดยในหลักสูตรเต็มจะมีการแยกออกเป็น 25 คู่ แต่นี่คือ 4 คู่ที่เป็นแกนหลักของ NVC
-
Observation ≠ Interpretation เช่น แฟนบอก “ช่วงนี้กลับบ้านดึก” = แค่ข้อเท็จจริง แต่เราดันตีความว่า “ไม่ไว้ใจหรอ” ทั้งที่เค้าอาจแค่ห่วงเฉย ๆ
-
Feeling ≠ Thinking คนเราชอบใช้คำว่า “รู้สึกว่า…” แล้วตามด้วยความคิด ทั้งที่จริงๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกเลย ลอง check ง่าย ๆ ว่าเป็นความรู้สึกจริงมั้ย:
- ความรู้สึกจริง: เหงา เครียด โกรธ ดีใจ ผิดหวัง
- ความคิดปลอมตัวเป็นความรู้สึก: “รู้สึกว่าเขาไม่แคร์” → จริงๆ นี่คือความคิด/การตีความ
Technique: ดู “ประธาน – กริยา – กรรม” ถ้ามีเนื้อหาคล้ายการเล่าเรื่อง / วิเคราะห์ / โยนความผิด = นั่นไม่ใช่ความรู้สึก
-
Need ≠ How เวลามี conflict ส่วนใหญ่ไม่ได้ทะเลาะกันเพราะ “ต้องการไม่ตรงกัน” แต่ทะเลาะกันเพราะเสนอ “วิธีการ” คนละแบบ แล้วไม่ยอมกัน
- Need: อยากพักผ่อน
- How: ไปเที่ยวทะเล / อยู่บ้านเงียบ ๆ / ปิดแจ้งเตือน
ถ้าเข้าใจ Need ที่แท้จริงก่อน เราจะเปิดทางเลือก How ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
-
Request ≠ Command คำพูดง่ายๆ แต่ “น้ำเสียงและเจตนา” ต่างกัน ฟังแล้วรู้เลยว่าอันไหนคือ “ขอ” (มีพื้นที่ให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ) และอันไหนคือ “สั่ง” (ไม่ทำคือผิด บีบให้ทำ)
- Request: “ช่วยเอาขยะไปทิ้งให้หน่อยได้ไหม”
- Command: “ต้องให้พูดอีกกี่รอบถึงจะเอาไปทิ้ง”
สรุปแยกแล้วได้อะไร
- เราสื่อสารเข้าเป้า ไม่เผลอใช้ความรู้สึกหรือความคิดมาปะปน
- เราเข้าใจความต้องการแท้จริง ไม่เถียงกันเรื่องวิธี
- เราขอได้ โดยไม่กดดันอีกฝ่าย
- เราฟังคนอื่นแบบเข้าใจเขาจริง ๆ
- เรายังรักและจริงใจกับตัวเองอยู่
Bonus
- หลายครั้งเรามัวแต่วัดผลจากสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ยอดขาย ผลลัพธ์โครงการ ซึ่งเป็น Lagging Indicator คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น “หลังจาก” เราลงมือทำไปแล้ว สิ่งที่ควร focus มากกว่าคือ Leading Indicator คือสิ่งที่ “นำไปสู่ผลลัพธ์นั้น” และเราควบคุมมันได้ การตั้งเป้าแบบ ซอยย่อย ให้เห็นความก้าวหน้าชัด ๆ จะช่วยให้ Flow State เกิดง่ายขึ้น
- ก่อนจะเริ่มอะไร ให้ถามว่า “เรากำลังจะออกแบบสิ่งนี้เพื่อให้มันดีด้านไหน?” สมมติกำลังจะออกแบบระบบหรือแนวทางการทงาน เราจะต้องเอาให้ชัดก่อนว่าเราจะ optimise เพื่ออะไร เพราะถ้ารู้ก่อนก็จะสามารถออกแบบให้ตรงความต้องการได้มากขึ้น ลดโอกาสเหนื่อยฟรีลง เช่น
- Speed
- Professionalism
- Team Morale
- Innovation
- แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะสื่อสารด้วยแนวคิด NVC ตลอดเวลากับเรา ให้ลองเปลี่ยนมุมมองว่าเบื้องหลังคำเหล่านั้น มันกำลัง สะท้อนคุณค่า (value) อะไรที่เรายึดถืออยู่ ถ้าเราสื่อสารและรับฟังด้วย “คุณค่า” แทน “คุณธรรม” บรรยากาศจะเปลี่ยนทันทีจากตึง -> เข้าใจ เช่น
- “ทำงานแบบนี้ไม่มืออาชีพเลย” -> อาจสะท้อนการให้คุณค่ากับความชัดเจนและความรับผิดชอบ
- “ควรจะฟังคนอื่นก่อนสิ” -> อาจสะท้อนการให้คุณค่ากับความเคารพและการมีส่วนร่วม
สุดท้ายนี้…
ทั้งเรื่อง Hyper Productivity และ NVC มันเหมือนเป็น “เลนส์ใหม่” ที่ทำให้เราเข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่นดีขึ้น โดยที่
- Hyper Productivity = เข้าใจสมองเรา
- NVC = เข้าใจหัวใจเขา
ใครที่รู้สึกว่าทำงานแล้วเหนื่อย ไม่เห็นปลายทาง ไม่รู้จะคุยกับใครยังไงให้ทะเลาะน้อยลง ลองเอาแนวคิดพวกนี้ไปใช้ดูฮะ แน่นอนว่ามันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตข้ามคืน แต่มันสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้บ้างก็ดี