สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปเข้า course เกี่ยวกับ consulting
เมื่อกลางปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้เข้า course เกี่ยวกับ consulting เราตัดสินใจสมัครไปเนื่องจากเราอยู่บริษัทที่ทำ consulting การมีทักษะนี้ก็จะช่วยเสริมให้หน้าที่การงานดีขึ้นแน่นอน ก่อนหน้านี้ความมั่นใจการเป็น consult ของเราก็ต่ำอยู่ พอเรามาเข้าแล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้น มีชั้นมีเชิงในการเข้าทำมากขึ้น ฮ่า ๆๆ มาดูกันว่าเป็นอย่างไร
ทบทวนภาพใหญ่ของ consulting
Consultant มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่างคือให้คำปรึกษาและจุดประกายให้ลูกค้าทำตามความคิดของเรา แนวทางการทำงานของ consultant ได้แก่
- Contracting ก็คือตกลง scope และความคาดหวังกันก่อน (Hopes and Fears) เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสบายใจว่า บทบาทของ consultant จะเป็นไปตามที่ตกลงไว้โดยจะไม่เข้ามาแย่งงานหรือแย่งตำแหน่งในองค์กรของเค้า
- Information gathering ก็คือเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตลูกค้า เช่น software ที่เค้าใช้กันอยู่มันมีปัญหาอะไร
- Presenting recommended actions (solutioning) เพื่อเก็บ feedback นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา และโน้มน้าวให้ลูกค้าให้เชื่อว่า ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการวิธีการแก้ปัญหาของเรา
โดยวิธีการ consulting จะมีด้วยกันอยู่ 3 mode คือ
- Expert Mode ช่วยลูกค้าในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหานั้น ๆ เน้นเสนอวิธีแก้ปัญหาจากมุมมองของตัวเอง
- Pair of Hands ช่วยลูกค้าด้วยการบอกให้ลูกค้าลงมือทำหรือบางทีก็ลงมือทำไปกับลูกค้าเลย
- Collaborative Mode ช่วยลูกค้าด้วยการระดมสมองกับลูกค้าเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาไปด้วยกัน
โดยเราจะต้องหาจุดสมดุลระหว่าง Collaborative และ Expert Mode วิธีการ balance นั้นลองดูตามบทความที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ได้ครับ
ก้าวแรกสู่การ meeting ครั้งแรกกับลูกค้า
การประชุมครั้งแรกกับลูกค้า (initial meeting) ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและยากที่สุด สิ่งที่ทำให้มันยากคือเราจะต้องถามคำถามเพื่อเก็บข้อมูลเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- Background
- จุดประสงค์และความคาดหวังใน project
- สิ่งที่ต้องส่งมอบ
- ลูกค้า (stakeholder) ที่ต้องร่วมงานด้วย
- Scope ของงาน
- หน้าที่และความรับผิดชอบของทั้งเราและลูกค้า
- คน, วิธีการประสานงาน และความบ่อยในการ review และ report
- Resource เช่น เงิน กรอบเวลา
- ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
- Dependencies ต่าง ๆ
Tips เล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเข้าประชุมกับลูกค้า
- สรุปประเด็นสำคัญก่อนจบประชุมรวมถึง next steps
- ใช้เทคนิคเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าพูดเยอะ ๆ
- จบการประชุมด้วยคำถาม “มีประเด็นอื่นที่เราควรจะรู้เพิ่มไหม”
- ขออนุญาตลูกค้าก่อนถามคำถามแทรก
How to say “No”
การปฏิเสธลูกค้ามันยากที่จะพูดนะเพราะใคร ๆ เขาก็ชอบคนง่าย ๆ “ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” เราก็รู้สึกผิดเพราะทำตามความต้องการลูกค้าไม่ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เครียด! ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเกินเวลา งานออกมาก็เลยคุณภาพห่วย พอห่วยก็เสียเชื่อเสียงโดนเอารัดเอาเปรียบต่อไป ดังนั้นแนวปฏิบัติในการปฏิเสธคือ
- รับฟังและถามคำถามและทวนเพื่อเข้าใจเจตนาของลูกค้าที่ร้องขอเรา
- ใจเย็น ๆ อย่าลังเลจนเก็บทรงไม่อยู่
- เลือกใช้คำทางบวก เลี่ยงคำพูดพวก “เป็นไปไม่ได้” “พลาดแล้ว” “เพ้อเจ้อ”
- แสดงความเห็นใจลูกค้า
- อธิบายว่าทำไมสิ่งที่เค้าขอถึงไม่เหมาะสม เช่น ยกความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
- เสนอแนวทางอื่น ๆ ที่เรามองว่าดีกว่า
การเก็บ requirement จากลูกค้่า
- เริ่มต้นการประชุมด้วยเรื่องดี ๆ เช่น “What is working well with …?” “What have your recent success been?”
- ถามคำถามเจาะจงก่อนที่จะตั้งสมมติฐานของปัญหาที่เราเจอ เช่น “ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยไหม” “คุณรู้ไหมว่าทำไมปัญหานี้ถึงเกิดขึ้น”
- ปกป้องความลับของลูกค้าและคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
การจัดการกับลูกค้าที่มีเวลาให้เราน้อย
- มาหาลูกค้าพร้อมกับ solution หรือ option ไม่เกิน 2 ตัวเลือกเลย อย่าไปเสียเวลาให้เค้าวิเคราะห์ปัญหาด้วยกัน โดยให้บอกข้อดี-ข้อเสียให้เข้าใจง่าย ๆ
- มาพร้อมกับประเด็นที่อยากจะได้หลัก ๆ จากเค้า อย่าไปเสียเวลานั่งพูดคุยจิบน้ำชากัน
- อย่าจัดประชุมโดยที่ไม่จำเป็นตามที่เขียนไว้ในบทความนี้
- เข้าหาคนใหญ่คนโตกว่าตำแหน่งลูกค้า
- ประเด็นไหนที่ดูจะออกทะเลยืดยาว ให้เอาไปจดบันทึกแยกไว้ใน “Parking Lot” เพื่อไปคุยแยกกันอีกที
ขั้นตอนการนำเสนอข้อแนะนำให้ลูกค้า
เราสามารถนำ diagram มาใช้ในการประกอบการเล่าเรื่องให้กับลูกค้าเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้มากขึ้น เช่น
-
Ishigawa diagram เพื่อแสดงเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกค้า
https://www.researchgate.net/figure/Fishbone-diagram-for-software-defects_fig3_238327248
-
Priority matrix เพื่อจัดลำดับความสำคัญ
-
7-S Framework เพื่อเข้าใจการเชื่อมโยงกันของแต่ละส่วนในองค์กร 7 อย่าง
ต่อมาคือเรื่องของโครงสร้างในการ present ควรจะครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- สรุปทวนเป้าหมายของ project และให้ลูกค้า confirm ด้วย
- สิ่งที่เราได้ลงมือทำ
- สิ่งที่เราได้ค้นพบมา
- สิ่งที่เราแนะนำทั้ง short-term และ long-term
- Next steps
เทคนิคการต่อรองกับลูกค้า
- แยกคนและความเชื่อใจออกจากปัญหา เช่น แทนที่จะบอกว่าเค้าคือปัญหา ให้บอกเล่าด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นแทนพร้อมกับขอคำปรึกษาให้ลูกค้าได้ออกไอเดีย
- Focus กับเจตนาของเขามากกว่าตำแหน่งและคำขอ
- ให้โอกาสลูกค้าได้แสดงความเห็นต่าง
- เราต้องเป็นคนแก้ไขเรื่องที่ลูกค้ามีความเข้าใจที่ผิด
- ปล่อยให้เค้าระบายพูดออกมา ถ้าเราโกรธใช้ “I” เพื่อปกป้องตัวเอง
- ถามคำถาม-หยุด-ฟัง-สรุปหรือขยายความ
- ให้เหตุผลกับลูกค้าก่อนเสนอวิธีแก้
ถือว่าเป็น course ที่ดีที่เราได้เห็นว่าทักษะ consulting อยู่ตรงไหน แล้วเราสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ยังไง และอย่างน้อยเรามีวิชาติดอาวุธไว้เพื่อใช้ในงานหรือชีวิตประจำวันด้วย